วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

10 วิธีดูแลหลังคาบ้านให้ใช้งานได้นาน ๆ


           เชื่อว่าหลายคนไม่เคยสังเกตหลังคาบ้านของตัวเองว่าชำรุดทรุดโทรม หรือเป็นรูรั่วตรงไหนหรือไม่ ด้วยความที่การเช็กหลังคาเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องเช็กทั้งด้านนอกและด้านใน อีกทั้งหลังคาก็อยู่สูงและเป็นสิ่งที่ไม่ได้สังเกตเห็นได้ง่ายในทุก ๆ วัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครดูแลรักษาหลังคาจนกว่าจะถึงวันที่ฝนตก น้ำรั่ว นั่นแหละจึงจะขึ้นไปดูแลซ่อมแซมมัน ถ้าอย่างนั้นมัวรออะไรอยู่คะ มาดูวิธีดูแลหลังคาบ้านให้ใช้งานได้นานไร้ปัญหารบกวนแล้วลองลงมือทำตามกันเถอะค่ะ

          1. เริ่มจากการตรวจเช็กดูด้านในก่อน ว่ากระเบื้องหลังคาแผ่นไหนมีสภาพทรุดโทรมและกระเบื้องใกล้หลุดแล้วบ้าง จากนั้นให้รีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่

          2. ตรวจเช็กดูว่าตรงไหนมีรูรั่วที่น้ำสามารถลอดผ่านได้บ้าง จะได้อุดรอยรั่วได้ทันท่วงที เพื่อป้องกันน้ำหยดเวลาฝนตก

          3. ตรวจเช็กดูคราบสกปรก รอยด่างต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามกระเบื้อง หากมีคราบฝังแน่นเหล่านั้น ให้หาทางขจัดออกให้มากที่สุด หลังคาจะได้ดูใหม่ขึ้น

          4. ตรวจเช็กดูว่าหลังคามีรูโบ๋ตรงไหน ที่แสงแดดจากด้านนอกสามารถสาดส่องเข้ามายังตัวบ้านได้บ้าง แล้วจัดการอุดรอยโบ๋ หรือเปลี่ยนแผ่นใหม่

          5. ขึ้นไปตรวจหลังคาด้านนอกด้วยความระมัดระวัง แล้วใช้สายตากวาดดูรอบ ๆ ว่ามีกระเบื้องหลังคาแผ่นไหนแตก, เป็นรูรั่ว และอันไหนกระเบื้องหลังคาหายไปบ้าง จะได้จัดแจงซ่อมแซม หรือเปลี่ยนใหม่ได้ตรงจุด

          6. เช็กดูว่ากระเบื้องหลังคาแผ่นไหนที่เริ่มหลุด ไม่ติดแน่นแล้ว โดยเฉพาะรอบ ๆ ปล่องช่องลม และ แถว ๆ ท่อน้ำ เป็นต้น เพื่อแก้ไขก่อนที่แผ่นหลังคาจะร่วงหล่นลงมา จนเกิดอุบัติเหตุกับคนในบ้าน

          7. ระวังก้อนกรวดเล็ก ๆ จะเข้าไปอุดในท่อน้ำมากเกินไป จะเกิดปัญหาท่อระบายน้ำฝนอุดตันได้ อย่าลืมตรวจเช็กความเรียบร้อยของท่อน้ำไม่ให้มีเศษใบไม้ลงไปคาอยู่ด้วยนะคะ

          8. ตรวจเช็กดูว่าตรงส่วนไหนมีความชื้น ผุพัง หรือมีเชื้อราบ้าง ถ้าปล่อยให้กระเบื้องหลังคาเปียกชื้นมาก ๆ เข้า จะทำให้เชื้อรา และแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวลา 1-2 วัน จะยิ่งทำให้แก้ปัญหาลำบากเข้าไปอีก

          9. สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืม คือการตรวจสอบที่ระบายน้ำ โดยต้องให้ท่อระบายน้ำกับหลังคาเชื่อมติดกันอย่างมั่นคงแข็งแรง เพื่อไม่ให้เกิดน้ำรั่วออกมานอกท่อ

          10. อย่าเช็กหลังคาแค่เฉพาะส่วนที่คุณใช้เวลาตรงนั้นบ่อย ๆ ให้เช็กดูความเรียบร้อยของหลังคาตรงห้องน้ำ ห้องครัว และตรงช่องระบายอากาศให้เรียบร้อยด้วย เมื่อเจอข้อบกพร่องตรงไหนของหลังคาให้รีบจัดการให้เรียบร้อย จะช่วยให้การดูแลหลังคาง่ายยิ่งขึ้น ไม่ควรรอจนกว่าจะถึงวันที่มีปัญหา จะทำให้การซ่อมหลังคาในวันนั้นยุ่งยากมากกว่าเดิม

          การตรวจเช็กหลังคาบ้านควรทำปีละ 2 หน ช่วงเวลาที่ดีคือช่วงก่อนเข้าหน้าฝน และช่วงหลังหน้าฝน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนหยดเข้ามาในตัวบ้านได้ถ้าหากหลังคารั่ว ดูแลรักษาหลังคาให้ดี จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ภายในบ้านได้อีกเยอะ ลองนำวิธีดี ๆ ที่นำมาฝากในวันนี้ไปใช้กันนะคะ แล้วจะรู้ว่าการดูแลหลังคาบ้านไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ


เครดิตภาพ  https://home.kapook.com/view77119.html

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ไม่ลองไม่รู้ !! 9 วิธีกำจัดกลิ่นคาวในห้องครัว พอกันทีกลิ่นเหม็นแรงจนแสบจมูก


         สำหรับห้องครัวที่เหม็นกลิ่นคาวจนเกือยทนไม่ไหว มาดูวิธีดับกลิ่นคาวปลาในห้องครัวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ รับรองว่าช่วยให้กลิ่นคาวในห้องครัวหายไปได้ชัวร์ ด้วยวิธีง่าย ๆ เหล่านี้

          กลิ่นคาวเป็นกลิ่นที่กำจัดได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดไม่ได้ซะหน่อย เพราะในวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวมวิธีดับกลิ่นคาวในห้องครัวมาฝากแล้ว ขอบอกว่าแต่ละวิธีนั้นทำได้แสนง่าย แถมรับประกันเลยว่าได้ผลชัวร์ ใครที่ต้องทำอาหารประเภทปลาหรืออาหารทะเลบ่อย ๆ หลังจากนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีกลิ่นคาวรบกวน จนแสบจมูกอีกแล้ว เพียงนำวิธีกำจัดกลิ่นคาวเหล่านี้ไปใช้

1. น้ำส้มสายชู

          รู้ไหมว่าเพียงแค่เทน้ำส้มสายชูใส่ถ้วยเล็ก ๆ แล้ววางไว้ใกล้ ๆ เตา เวลาที่เราทอดปลา ทำอาหารทะเล หรือทำอาหารที่มีกลิ่นเหม็น ก็ช่วยกำจัดกลิ่นคาวให้หายไปได้ง่าย ๆ เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีคุณสมบัติช่วยดูดกลิ่นคาวและกลิ่นเหม็นได้อย่างหมดจด แต่ถ้าหากใครลองทำแล้วกลิ่นคาวยังออกไม่หมดสักที ขอแนะนำให้วางทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วค่อยนำไปเททิ้ง รับรองว่ากลิ่นต้องหายไปแน่ ๆ

2. มะนาว

          ถ้าบ้านใครที่น้ำสมสายชูดันมาหมดพอดี จะเปลี่ยนมาใช้น้ำมะนาวแทนก็ได้เหมือนกัน โดยขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มด้วยการนำน้ำใส่กระทะแล้วตั้งไฟอ่อน ๆ จากนั้น ใส่น้ำมะนาวตามลงไปสัก 2-3 ช้อนชา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดสักครึ่งชั่วโมง เท่านี้กลิ่นคาวก็จะหมดไป แถมยังได้กลิ่นหอมของมะนาวมาแทนด้วย

3. เบกกิ้งโซดา

          เบกกิ้งโซดา ผงสีขาวที่มีคุณสมบัติโดนใจคนรักครัวมาก ๆ เพราะสามารถใช้ทำความสะอาดและขจัดคราบในครัวได้หลากหลาย อีกทั้งยังช่วยลดกลิ่นอับในตู้เย็นหรือตู้กับข้าวได้อีกด้วย ส่วนเรื่องกลิ่นคาวในครัวน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึง เพราะเราสามาถนำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำเปล่า 800 ซีซี จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วนำไปขัดเขียงดับกลิ่นคาว รับรองเลยว่าช่วยให้ครัวไม่เหม็นได้แน่นอน

4. ขิง

          ขิง นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ รู้หรือไม่ว่าขิงเนี่ยช่วยลดกลิ่นคาวได้ด้วย ซึ่งวิธีการดับกลิ่นคาวด้วยขิงก็ทำไม่ยากเลย โดยนำขิงมาบดจนเป็นผงละเอียด จากนั้นโรยให้ทั่วตัวปลา แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ สามารถนำปลาไปประกอบอาหารแบบไม่ต้องกลัวกลิ่นคาวรบกวนระหว่างการทำอาหารเลยล่ะ

5. นมสด

          อีกหนึ่งวิธีล้างปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว ก่อนกลิ่นคาวจะฟุ้งไปทั้งครัวและก่อนนำมาทำกับข้าวคือ นำปลาหรืออาหารทะเลใส่ลงในกะละมังแล้วเทนมตามลงไปให้ท่วม ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง สารเคซี (เคซีน) ซึ่งเป็นโปรตีนในน้ำนม ก็จะดูดซับสารไตรเมทิลเอมีนออกไซด์ (Trimethylamone Oxide : TMAO) สารประกอบที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวเอาไว้ จากนั้นก็นำปลาไปประกอบอาหารได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีกลิ่นคาวแล้ว

6. กาแฟ

          หากคุณเป็นคอกาแฟอยู่แล้ว รับรองว่าต้องชอบวิธีนี้แน่ ๆ แถมยังสามารถทำได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่นำเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดกาแฟบดเทใส่ถ้วยเอาไว้ แล้วนำไปตั้งทิ้งไว้ในห้องครัวประมาณ 1-2 จุด กลิ่นจากกาแฟก็จะช่วยกลบกลิ่นคาวได้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่ชินนามอน จันทร์เทศ หรือเครื่องเทศชนิดอื่น ๆ ลงเพิ่มกลิ่นหอม ๆ ให้กับห้องครัวอีกก็ได้

7. แอปเปิล

          รู้ไหมว่าแอปเปิลช่วยดูดกลิ่นคาวจากการทำอาหารได้ โดยสไลด์แอปเปิลเป็นแผ่นบาง ๆ วางบนปลาให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก่อนนำปลาไปทำอาหาร สำหรับปลาที่มีกลิ่นแรง วิธีนี้อาจช่วยลดกลิ่นคาวให้น้อยลงได้ และไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติ เพราะวิธีนี้ไม่ได้ทำให้รสชาติและกลิ่นของเนื้อปลาเปลี่ยนไป

8. บุหงา

   
          ถ้าแค่ดับกลิ่นคาวยังไม่พอ เพราะต้องการให้ห้องครัวหอมสดชื่นด้วย ก็ต้องหันมาทำบุหงา เครื่องหอมที่เป็นการผสมผสานระหว่างกลีบดอกไม้หรือเปลือกผลไม้หอม ๆ อย่างเช่น ดอกกุหลาบ ดอกจำปา เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เข้ากับเครื่องเทศ เช่น อบเชยหรือกานพลู แล้วล่ะ โดยวิธีการทำบุหงาก็ไม่ยาก แค่ต้มน้ำโดยใช้ไฟอ่อน ๆ จากนั้นก็ใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ลงไป ปล่อยทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง หรือสักระยะหนึ่ง เพียงแค่นี้กลิ่นหอม ๆ ก็จะฟุ้งไปทั่วห้องครัวแทนที่กลิ่นคาวแล้ว หรือถ้าจะให้สะดวกกว่านั้นก็ใช้วิธีจุดเทียนหอมแทนก็ได้ค่ะ

9. หน้าต่าง

          วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดกลิ่นคาวในห้องครัวของเราได้ ก็คือเปิดหน้าต่าง ทั้งในขณะที่กำลังทำอาหาร หรือแม้แต่ตอนทำอาหารเสร็จแล้ว เพื่อให้ห้องครัวมีอากาศถ่ายเท หมุนเวียนกลิ่นเหม็น ๆ ออกไป แต่ควรเปิดประตูที่เป็นทางเข้า-ออกนอกตัวบ้านนะคะ อย่าเผลอเปิดประตูที่เชื่อมกับห้องต่าง ๆ ภายในบ้านเชียว ไม่อย่างนั้นกลิ่นคาวได้ตลบอบอวนอยู่ในบ้านแน่ และถ้าหากวันไหนฝนตก ใช้วิธีเปิดหน้าต่างดูท่าจะไม่เวิร์ก ลองหันมาเปิดพัดลมระบายอากาศแทน ก็ช่วยระบายกลิ่นคาวได้เหมือนกัน

          เห็นไหมคะ ว่าแต่ละวิธีทำตามได้ไม่ยากเลย แถมอุปกรณ์ที่ใช้ทำก็ยังหาได้ง่าย ๆ ในบ้านของเราด้วย รู้อย่างนี้แล้วอย่ามัวปล่อยให้ห้องครัวเหม็นคาวต่อไปอีกเลยนะคะ อ้อ แล้วยังไงก็อย่าลืมหาสาเหตุต้นตอที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเอาไว้ด้วย เพราะถ้าหากกลิ่นเหล่านี้ไม่ได้มาจากอาหาร แต่มาจากของใช้ภายในครัว ก็จะได้หาทางดับกลิ่นเฉพาะจุดกันต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Howtoremovethat, dengarden, thespruce, vkool, tescolotus, pirun.ku.ac.th และ foodnetworksolution

https://home.kapook.com/view181228.html

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

12 วิธีทำความสะอาดผิด ๆ แบบนี้ไง ของใช้ในบ้านเลยพังไม่เหลือ !

 
 

      ไปเช็กกันหน่อยว่าคุณยังทำความสะอาดแบบผิด ๆ กันอยู่หรือเปล่านะ เช็กแล้วรีบเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดบ้านเหล่านี้ให้ถูกต้องซะ ก่อนจะต้องซื้อของใช้ในบ้านใหม่หมดทั้งหลัง

        การทำความสะอาดบ้านที่มีทั้งประโยชน์และโทษในคราวเดียวกัน หากเราใส่ใจทำความสะอาดอย่างถูกวิธีก็ไม่มีปัญหาให้ต้องตามแก้ แต่ถ้าทำความสะอาดผิดขึ้นมา แน่นอนว่าปัญหามารออยู่ตรงหน้าแน่นอน ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงรีบเฟ้นหาวิธีการทำความสะอาดแบบผิด ๆ มาบอกให้รู้กันก่อน ก่อนที่ของใช้ในบ้านจะพังไปมากกว่านี้ แต่รู้แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนด้วยนะคะ ถึงจะเห็นผลจริง ๆ

1. เช็ดกระจกทุกครั้งที่เห็นรอยนิ้วมือ

        เลิกซะเถอะเวลาเห็นรอยนิ้วมือบนกระจก แล้วพุ่งตัวไปหยิบน้ำยาเช็ดกระจกมาพ่นใส่ตลอดเนี่ย นอกจากจะไม่ช่วยทำให้รอยเหล่านั้นหายไปแล้ว ยังพาความชื้นมาด้วย อีกทั้งการฉีดพ่นสเปรย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะทำให้พื้นผิวของกระจกสึกกร่อนได้เร็วกว่าอายุขัย เอาเป็นว่าจัดสรรตารางเวลาทำความสะอาดให้เหมาะสม เช็ดกระจกแค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอ

2. เทน้ำยาจำกัดคราบสูตรเข้มข้นลงบนผ้าโดยตรง

        คราบบนเสื้อผ้าที่ว่าเปื้อนหนักต้องรีบกำจัดโดยด่วน แต่ห้ามใช้น้ำยากำจัดคราบสูตรเข้มข้นราดลงบนเนื้อผ้าโดยตรงนะ เพราะน้ำยาเหล่านั้นจะทำให้คราบยิ่งซึมและฝังเข้าไปในเนื้อผ้า ไม่ได้ช่วยกำจัดคราบให้หลุดออกไปแต่อย่างใด เผลอ ๆ ถึงขั้นกัดเนื้อผ้าจนเสียหายเลยก็เป็นได้ ทางที่ดีควรทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ข้างฉลากจะดีกว่า

3. เช็ดท็อปเคาน์เตอร์แบบมั่ว ๆ

        การทำความสะอาดท็อปเคาน์เตอร์ครัวเป็นเรื่องที่ควรทำทุกวัน แต่ถ้าไม่มีเวลาแล้วจะมาเช็ดแบบมั่ว ๆ ไม่ได้เลยนะคะ สู้ปล่อยทิ้งไว้แล้วค่อยสะสางในเวลาว่างอย่างถูกวิธีจะดีกว่าไหม มิเช่นนั้นชั้นผิวที่เคลือบป้องกันหน้าท็อปเคาน์เตอร์อยู่นั้นอาจจะหลุดออก และทำให้การทำความสะอาดครั้งต่อไปยากขึ้นกว่าเดิมเอาเป็นว่าเลอะคราบที่จุดไหนก็เช็ดแค่ที่จุดนั้นและไม่ต้องเช็ดบ่อยจนเกินไป แนะนำว่าหลังใช้งานของวันแค่ครั้งเดียวก็พอค่ะ

4. ทำความสะอาดพื้นไม้บ่อย

        หากบ้านใครตกแต่งด้วยพื้นไม้สวย ๆ ราคาแพง ๆ ยิ่งไม่ต้องขัดถูหรือเคลือบบ่อย เพราะจะทำให้พื้นผิวหน้าเดิมที่เคลือบพื้นไม้นั้นเปิดออก และเมื่อใช้น้ำถูพื้นในครั้งต่อไป น้ำก็จะเข้าไปทำลายพื้นไม้จนเสียหายได้เลยนะคะ แค่รักษาความสะอาดและลดกิจกรรมที่ทำให้พื้นเปื้อนง่ายลงก็พอค่ะ

5. ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเส้นผมทุกครั้งที่เจอ


        ปัญหาเส้นผมร่วงหล่นในบ้านไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดด้วยเครื่องดูดฝุ่นทุกครั้งเสมอไป มิเช่นนั้นเส้นผมจะไปจับตัวพันกันเป็นก้อนอุดตันอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น ทางที่ดีให้ใช้ไม้กวาดกวาดเส้นผมเหล่านั้นทิ้งไปดีกว่า ส่วนขนสัตว์แนะนำให้ใช้เครื่องดูดทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ

6. ซักเสื้อผ้าบางชนิดหลังใส่เลยทันที

        เสื้อผ้าต้องซักทุกครั้งหลังใส่ก็จริง แต่สำหรับผ้าบางชนิดแล้วนั้นไม่จำเป็นต้องจับลงเครื่องซักผ้าหลังสวมใส่ทุกครั้งไป เนื่องจากการซักบ่อย ๆ อาจจะทำให้เนื้อผ้าเสื่อมสภาพเร็ว ส่วนชุดกีฬา เสื้อยืด ถุงน่อง หรือผ้าที่ต้องเจอกับสิ่งสกปรกควรต้องซักหลังสวมใส่ มิเช่นนั้นกลิ่นโชยมา แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะคะ

7. ฉีดสเปรย์ลงบนเฟอร์นิเจอร์ไม้โดยตรง

        รู้หรือไม่ว่าการฉีดสเปรย์กำจัดฝุ่นลงบนเฟอร์นิเจอร์โดยตรง ไม่ได้ช่วยให้เฟอร์นิเจอร์สะอาดขึ้นเลย แต่จะสร้างชั้นฟิล์มบนผิวเฟอร์นิเจอร์และดูดฝุ่นให้กลับมาเกาะอีกครั้งมากกว่า แนะนำว่าเปลี่ยนมาฉีดสเปรย์ใส่ผ้าก่อน แล้วค่อยนำไปเช็ดทำความสะอาดฝุ่น รับรองสะอาดเกลี้ยงไม่เลี้ยงฝุ่นให้กลับมาเกาะแน่นอน

8. ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับผ้าขนหนูเนื้อหยาบ

        น้ำยาปรับผ้านุ่มคือของดีที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ก็จริง แต่เราไม่ควรใช้น้ำปรับผ้านุ่มเข้มข้นกับผ้าขนหนูเนื้อหยาบ เพราะจะทำให้ผ้าเสียทรงและเนื้อสัมผัสแบบเดิม ยังลดการซึมซับน้ำของผ้าขนหนูอีกด้วย แต่ถ้าอยากจะใช้จริง ๆ แนะนำให้เจือจางน้ำยาปรับผ้านุ่มซะก่อนก็จะดีกว่าค่ะ

9. เช็ดแผ่นซีดีด้วยผ้าธรรมดา

 
        นักสะสมแผ่นซีดีต้องดูไว้ หากเกิดรอยเปื้อนหรือรอยขีดข่วนบนแผ่นอย่าใช้ผ้าธรรมดา ๆ เช็ดโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นแผ่นซีดีอาจจะใช้งานไม่ได้เลย วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องคือ ป้ายยาสีฟันลงบนรอยขีดข่วน แล้วใช้ผ้าขนนุ่ม ๆ เช่น ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดออกอย่างเบามือ เปิดน้ำผ่านแผ่นซีดีเพื่อล้างยาสีฟันออก ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดซ้ำ แล้วทำการลงครีมเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์ลงบนแผ่นซีดี

10.  ทำความสะอาดหินอ่อนด้วยน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชู

        สารพัดพื้นผิวในบ้านที่เป็นหินอ่อน ไม่ว่าจะเป็นท็อปเคาน์เตอร์หรือกระเบื้อง ก็ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาวทำความสะอาด แม้วัตถุดิบทั้ง 2 ชนิดจะมีคุณสมบัติช่วยกำจัดคราบก็เถอะ เพราะมันมีกรดที่กัดกร่อนหินอ่อนให้เสียหายได้

11. เช็ดหน้าต่างกระจกตอนแดดแรง ๆ

        ใช่ว่าในตอนกลางวันที่แดดแรงแซงปรอทแตกขนาดนั้น จะช่วยฆ่าเชื้อโรคไปพร้อมกับการทำความสะอาดหน้าต่างได้ อันที่จริงแล้วเราไม่ควรเช็ดกระจกในตอนนั้นเด็ดขาด เพราะมันจะแห้งเร็วเกินไปจนทำให้เกิดรอยขีดข่วนขณะเช็ดกระจกได้นั่นเอง

12. เช็ดหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระดาษทิชชู

        ราคาค่างวดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าหากใช้ทิชชูเนื้อหยาบเช็ดหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้วละก็ ต้องเกิดรอยขีดข่วนแน่นอน เปลี่ยนมาใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อแล้วเช็ด จะทำให้สะอาดกว่าเยอะ แถมไม่เกิดรอยขีดข่วนด้วยนะคะ

        เชื่อหรือยังว่าหากละเลยสิ่งเล็กน้อยไปอาจจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่โตตามมา ในเมื่อรู้แล้วว่าการทำแบบผิด ๆ มันเป็นอย่างไรจะส่งผลอะไรบ้างนั้น ก็อย่าลืมหลีกเลี่ยงและทำให้ถูกวิธีกันนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodhousekeeping, kleen-freak, ethanlazzerini และ countertopspecialty

เครดิตภาพ  https://home.kapook.com/view146961.html

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วิธีป้องกันปลวกบุกบ้านแบบไม่ใช้สารเคมี



           ปกป้องบ้านให้ปลอดภัยจากปัญหาปลวก วิธีป้องกันปลวกบุกบ้านที่ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี แต่ใช้วิธีป้องกันบ้านจากปลวกแบบง่าย ๆ ที่ทำตามได้ไม่ยากเลย

         
เคยได้ยินมาบ่อย ๆ ว่าหลายคนต้องย้ายบ้านหนีปลวกหรือแมลงที่มาบุกรุกบ้าน เรียกได้ว่ายอมสละบ้านทิ้งแล้วหนีเอาตัวรอดจากปลวกตัวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งก็แสดงให้เห็นเลยว่า แม้ปลวกจะตัวนิดเดียว แต่กลับสร้างปัญหาได้ใหญ่โตเกินตัวหลายเท่าเลยนะคะ ดังนั้นคงดีกว่าถ้าเราจะปกป้องบ้านไม้ให้ห่างไกลจากปัญหาปลวก อยู่สบายแบบไร้ปลวกตามวิธีป้องกันปลวกบุกบ้านต่อไปนี้


อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

          - ทราย

          - ยางขอบประตู

          - แผ่นพลาสติกโพลีเอทิลีน ความหนา 6 มิลลิเมตร


          - ไส้เดือนฝอย

วิธีป้องกันปลวก

          1. ถ้าตั้งใจจะสร้างบ้านไม้ก็ควรเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เคลือบสารป้องกันปลวกไว้ก่อน ตัดไฟแต่ต้นลมอย่างนี้จะได้ไม้ปวดหัวกับปัญหาปลวกภายหลังจ้า


2. เพื่อป้องกันความชื้นจากพื้นดินเข้าสู่ตัวบ้าน อาจต้องปูแผ่นพลาสติกรองระหว่างพื้นดินและพื้นกระเบื้องไว้เลย

          3. ออกแบบภายนอกในส่วนที่เป็นไม้ให้มีลักษณะลาดลงเพื่อความสะดวกในการระบายน้ำ ช่วยลดโอกาสน้ำขังจนกลายเป็นความชื้นสะสม

          4. กำจัดความชื้นภายในบ้านให้หมด โดยเฉพาะความชื้นที่อยู่ใกล้วัตถุไม้ โดยขั้นตอนนี้อาจเปิดหน้าต่างบ้าน พัดลมดูดอากาศ เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท และหากเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เคลื่อนย้ายได้ ควรนำออกไปตากแดดจัด ๆ สัก 2-3 วัน เพื่อกำจัดปลวกที่อาจอยู่ในเนื้อไม้

          
          5. พยายามอย่าปลูกต้นไม้ในตำแหน่งที่ใกล้ตัวบ้าน ซึ่งจะช่วยลดความชื้นอีกทางหนึ่ง

          6. เททรายตรงบริเวณรอบ ๆ กำแพงบ้านด้านนอก วิธีนี้จะช่วยป้องกันปลวกใต้ดินไม่ให้ซอกซอนเข้ามาในบ้านเราได้

          7. ติดยางขอบประตูเข้ากับขอบประตูหน้าต่างไม้ทุกบาน ตอกย้ำความแน่นหนาและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความชื้นกับเนื้อไม้


          8. เจาะพื้นไม้ในตำแหน่งที่คาดว่าเสี่ยงต่อการบุกรุกของปลวก ให้มีความลึกประมาณ 4 นิ้ว และกว้างประมาณ 6 นิ้ว จากนั้นกรอกทรายลงไปให้เต็ม แล้วอุดรูให้เรียบร้อย ทรายจะช่วยป้องกันไม่ให้ปลวกแทะเนื้อไม้ได้

          9. ซ่อมแซมทุกจุดรั่วในบ้าน รวมทั้งตำแหน่งที่แตกแยกเป็นร่องให้เรียบร้อย โดยก่อนยาแนวหรือฉาบปูน ควรเติมทรายลงไปก่อนเพื่อเพิ่มความแน่นหนา จากนั้นจึงค่อยฉาบปิดช่องให้สนิท


          10. เลี้ยงไส้เดือนฝอย ปลวกที่ว่าแน่ก็ต้องยอมแพ้ไส้เดือนฝอย อย่างนี้เราก็ควรเลี้ยงไส้เดือนฝอยไว้ในสวนและดินรอบ ๆ บ้านเราสักหน่อย คราวนี้เจ้าปลวกใต้ดินหรือปลวกไม้แห้งจะได้ถูกกำจัดไปตามวัฏจักรธรรมชาติ ไม่ว่างมาทำลายบ้านไม้ของเราอย่างแน่นอน

          เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับปัญหาปลวกบุกบ้านหรอกเนอะ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันปลวกให้บ้านแต่เนิ่น ๆ อย่าลืมทำตามคำแนะนำที่เราบอกต่อกันด้วยนะจ๊ะ

เครดิตภาพ  https://home.kapook.com/view98802.html



วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

กำจัดคราบหินปูนอย่างง่าย ๆ ด้วยของใช้ในครัว


        คราบหินปูนที่ติดฝังแน่นอยู่กับก๊อกน้ำ หม้อต้มชา กาแฟ และวัสดุอื่น ๆ ภายในบ้านเกิดจากสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่ตกค้างอยู่บนพื้นผิววัสดุเหล่านั้นแบบฝังแน่น และแม่บ้านส่วนใหญ่ก็ลงความเห็นกันว่า คราบหินปูนที่ช่วยลดความวาวใสให้วัสดุต่าง ๆ เป็นคราบสุดหินที่กำจัดได้ยากมาก ถึงขนาดใช้น้ำยาทำความสะอาดแรง ๆ ก็เอาไม่อยู่ แต่อย่าเพิ่งจนปัญญากันเลยนะคะ เพราะถ้าอยากจะกำจัดคราบหินปูนสุดหินแบบง่าย ๆ ก็ทำได้ ด้วยเครื่องมือกำจัดคราบหินปูนฝังแน่นที่มีอยู่ในครัวของเรานี่เอง

น้ำส้มสายชูชนะขาดลอย

          น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเอาไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนมาใช้ผ้าชุบน้ำส้มสายชูชุ่ม ๆ หุ้มก๊อกน้ำที่มีคราบหินปูนเกาะจนเกรอะกรังไปหมดให้รอบ ๆ แล้วก็เทน้ำส้มสายชูลงไปบนผ้าย้ำอีกทีเพื่อความเข้มข้น พันทิ้งไว้อย่างนั้นสัก 2-3 ชั่วโมง หรือทิ้งไว้ข้ามคืนเลยก็ได้ อย่าลืมหมั่นเทน้ำส้มสายชูบ่อย ๆ เพื่อป้องกันผ้าแห้งด้วยนะคะ เมื่อครบระยะเวลาแล้ว ก็แกะผ้าออก แล้วใช้แปรงสีฟันอันเก่าขัดก๊อกน้ำอีกรอบ แค่นี้ก็จะสังเกตได้ว่า คราบหินปูนที่เคยเกาะติดหนึบ จะหลุดล่อนและขัดทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ

มัดถุงสยบคราบหินปูนที่ปากก็อกน้ำ

          นอกจากบริเวณรอบ ๆ ก๊อกน้ำแล้ว เจ้าคราบหินปูนแสนเกเรยังลามปามไปเกาะตามปากก๊อกน้ำ ขัดขวางสายน้ำจนไหลออกมาไม่สะดวกอีกด้วย ซึ่งเราก็ต้องจัดการด้วยน้ำส้มสายชูอีกเช่นกัน เพียงแค่เทน้ำส้มสายชูลงในถุงพลาสติกให้เยอะพอประมาณ จากนั้นก็นำถุงนั้นไปมัดติดกับก๊อกน้ำ เพื่อให้ส่วนปลายของก๊อกน้ำจุ่มลงในน้ำส้มสายชูที่เราเทใส่ไว้ เมื่อมัดแน่นหนาแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืนตามระเบียบ พอรุ่งเช้าก็ค่อยแก้มัดถุง แล้วใช้แปรงสีฟันอันเก่าขัดปากก๊อกน้ำอีกครั้ง ส่วนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามฝาท่อ ก็สามารถใช้ผ้าจุ่มน้ำส้มสายชูไปโปะแช่ไว้ได้เหมือนกัน ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมงค่อยใช้แปรงลวดทองแดงขัดจนสะอาดเกลี้ยงก็ได้

จัดการคราบอุดตันในฝักบัว


          ฝักบัวที่น้ำไหลได้ไม่เต็มที่ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคราบหินปูนอุดตันอยู่ในนั้นก็ได้ ถ้าสงสัยอย่างนี้ แนะนำให้คุณเทน้ำส้มสายชูกับน้ำร้อนจัดในปริมาณที่เท่า ๆ กันใส่ลงไปในถุง แล้วนำถุงนั้นไปมัดติดกับฝักบัว โดยให้ฝักบัวจุ่มลงไปในน้ำที่ผสมไว้จนมิด จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้สัก 3 ชั่วโมง ก่อนจะล้างและขัดฝักบัวอีกครั้งจนสะอาดเอี่ยม

ขจัดคราบหินปูนในหม้อต้มกาแฟ


          หม้อต้มชา กาแฟ หรือแม้แต่แก้วกาแฟเองก็มีคราบหินปูนติดอยู่ประจำ เหมือนเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่น แต่ถ้าอยากจะกำจัดคราบหินปูนในหม้อกาแฟให้หมดจด ก็สามารถใช้น้ำส้มสายชูตัวเอกของเราจัดการได้เช่นกัน เริ่มด้วยล้างหม้อต้มชากาแฟให้สะอาด แล้วเติมน้ำส้มสายชูลงไปสักครึ่งหม้อ ตามด้วยน้ำสะอาดอีกครึ่งหม้อ จากนั้นก็เปิดเดินเครื่องต้มกาแฟตามปกติ เมื่อต้มจนเดือดแล้ว ก็เทน้ำส้มสายชูทิ้ง เสร็จแล้วก็ต้มน้ำส้มสายชูกับน้ำใหม่อีกรอบ คราวนี้พอน้ำเดือด ก็เทน้ำทิ้ง จากนั้นก็เช็ดทำความสะอาดหม้อด้วยน้ำสบู่ต้มจนเดือดอีกครั้ง ถึงขั้นตอนนี้คราบหินปูนที่ติดฝังแน่นอยู่ก็จะหลุดล่อน เช็ดออกได้ง่าย แต่ก่อนจะนำหม้อไปต้มชากาแฟ ให้ต้มนำไปต้มน้ำสะอาดจนเดือดก่อนสัก 2 รอบ เพื่อล้างน้ำส้มสายชู และคราบน้ำสบู่ที่หลงเหลืออยู่ให้หมดไปด้วยนะคะ

สลายคราบหินปูนในเครื่องซักผ้า

          อีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มักจะมีคราบหินปูนติดฝังแน่นอยู่ ก็หนีไม่พ้นเครื่องซักผ้า และวิธีจัดการคราบหินปูนก็ทำได้โดย เทน้ำส้มสายชูลงไปในเครื่องซักผ้า แล้วกดปุ่มทำงานเครื่องซักผ้าตามปกติ ถ้าเครื่องซักผ้าของคุณมีระบบซักด้วยน้ำร้อนด้วยก็ใช้น้ำร้อนซักคราบหินปูนเลย รอจนเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยเทน้ำเดือดลงไป แล้วกดปุ่มซักเครื่องเปล่าอีกรอบก็เสร็จจ้า

น้ำมะนาวช่วยได้


          ถ้าไม่อยากใช้น้ำส้มสายชูกำจัดคราบหินปูน ก็สามารถใช้มะนาวหรือเลมอนหั่นครึ่งซีกมาขัดทำความสะอาดคราบหินปูนที่ติดฝังแน่นอยู่ตามขอบกระเบื้อง ก๊อกน้ำ ฝักบัว และบริเวณพื้นผิวขนาดเล็กต่าง ๆ ก็ได้ โดยหั่นมะนาวออกเป็นครึ่งซีก แล้วก็บีบน้ำมะนาวราดลงไปบนคราบสักหน่อย ก่อนจะใช้เปลือกมะนาวที่เหลือ ขัดคราบหินปูนให้ทั่ว แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดา กรด และวิตามินซีในน้ำมะนาวจะช่วยกำจัดตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนตได้อย่างอยู่หมัดเลยล่ะค่ะ

หินปูนหลุดออกง่ายดายด้วยเบกกิ้งโซดา


          หากอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการกัดกร่อนคราบหินปูนที่ฝังแน่น แนะนำให้โรยเบกกิ้งโซดาลงบนเปลือกมะนาวที่หั่นครึ่งสำหรับนำไปขัดถูทำความสะอาดจุดต่าง ๆ หรือจะโรยเบกกิ้งโซดาลงบนผ้าหมาด ๆ ก็ได้เหมือนกัน เพียงเท่านี้คุณก็จะได้น้ำยาขจัดคราบหินปูนสูตรเด็ดแล้วจ้า

          ไม่น่าเชื่อว่า ของที่มีอยู่ในครัวบ้านเราอย่างน้ำส้มสายชู มะนาว รวมทั้งเบกกิ้งโซดา จะสามารถกำจัดคราบหินปูนสุดหินได้อยู่หมัดแบบง่าย ๆ เลยนะคะ ใครที่เจอปัญหาน่าปวดหัวในการขจัดคราบหินปูนอยู่ ก็ลองกำจัดคราบหินปูนตามเคล็ดลับที่เราแนะนำกันได้เลยจ้า


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/barbolson04/mosaic-tiles/

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 ทางลัดกำจัดรอยยับบนเสื้อผ้า โดยไม่ใช้เตารีด !


         ทางลัดการกำจัดรอยยับบนเสื้อผ้า โดยไม่ต้องใช้เตารีด สำหรับคนที่ไม่ชอบรีดผ้าหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน มาดูกันว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถทำให้เสื้อผ้าเรียบได้ โดยไม่ต้องใช้เตารีด

          สำหรับคนที่ไม่ชอบรีดผ้า หรือมีเหตุจำเป็นต้องใส่เสื้อแต่ไม่มีเตารีด วันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้รวบรวมทางลัดกำจัดรอยยับบนเสื้อผ้าโดยไม่ต้องใช้เตารีดมาบอกต่อแล้วค่ะ วิธีการกำจัดรอยยับแบบง่าย ๆ ดูไว้ใช้ตอนเดินทางก็ได้ แล้วจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมีเตารีดก็สามารถทำให้ผ้าเรียบได้เหมือนกัน อยากรู้ว่าทำอย่างไรบ้างก็ตามไปชมพร้อม ๆ กันเลย

1. ทับด้วยผ้าเปียกยามฉุกเฉิน

          วิธีนี้สามารถแก้ไขได้เฉพาะสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้นนะคะ ให้นำผ้าขนหนูหรือกระดาษทิชชูอย่างหนาไปชุบน้ำ แล้วบิดหมาด ๆ ทาบลงไปบนรอยยับของเสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นราบ ใช้มือกดเบา ๆ บริเวณรอยยับ แล้วผึ่งให้แห้งก่อนใส่

2. ไดร์เป่าผมคลายรอยยับ

          ไม่มีเตารีดก็ใช้ไดร์เป่าผมแทนได้ โดยนำเสื้อผ้าที่มีรอยยับไปแขวน แล้วจัดทรงให้เรียบร้อย จากนั้นนำไดร์เป่าผมมาเป่าบริเวณที่มีรอยยับ เว้นระยะห่างระหว่างไดร์เป่าผมกับเสื้อผ้าสักประมาณ 2-3 นิ้ว แล้วก็เป่าจนกว่ารอยยับจะหายไป

3. อบไอน้ำจากฝักบัว

          เชื่อหรือไม่ว่าแค่แขวนเสื้อผ้าในห้องน้ำก็ทำให้ผ้าเรียบได้ ด้วยการนำเสื้อผ้าที่มีรอยยับไปแขวนที่ราวม่านอาบน้ำ แล้วเปิดน้ำอุ่นที่ฝักบัวทิ้งไว้ ปิดประตูห้องน้ำและช่องระบายอากาศประมาณ 10-15 นาที ไอจากน้ำอุ่นจะช่วยคลายรอยยับบนเสื้อผ้าได้ แนะนำให้ใช้วิธีนี้เมื่อยามฉุกเฉินจะดีกว่านะคะ เพราะไม่อย่างนั้นจะเปลืองค่าน้ำเอาได้ หรือรองน้ำใส่ถังรองเก็บไว้ใช้ในคราวต่อไปก็ได้ค่ะ

4. พ่นสเปรย์ผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม

          ถ้ามีรอยยับแค่ไม่กี่จุดก็ไม่จำเป็นต้องรีดให้เปลืองแรง แค่ผสมน้ำเปล่ากับน้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่เท่า ๆ  กัน เทใส่ขวดสเปรย์ จากนั้นนำเสื้อผ้าที่มีรอยยับมาแขวนไว้ เล็งหัวฉีดไปที่รอยยับ โดยเว้นระยะห่างประมาณ 12 นิ้ว แล้วฉีดพ่นสเปรย์ไปบนรอยยับเพียงเบา ๆ บาง ๆ ก็พอค่ะ ทิ้งไว้ให้แห้ง ผ้าก็จะกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมค่ะ

5. อบไอน้ำจากกาต้มน้ำ

          อีกหนึ่งวิธีในการลบรอยยับโดยไม่ต้องใช้เตารีดก็คือ นำเสื้อผ้าไปอังไว้ที่รูพ่นไอน้ำของกาน้ำ เว้นระยะห่างสักประมาณ 12 นิ้ว รอยยับก็จะค่อย ๆ หายไป แล้วเสื้อผ้าก็จะกลับมาเรียบเหมือนเดิม

6. ใช้เครื่องอบผ้าช่วย

          บ้านไหนมีเครื่องอบผ้าอยู่ถือว่าโชคดีเลย เพราะแค่นำเสื้อผ้าที่มีรอยยับเข้าไปอบในเครื่องอบแห้งพร้อมกับผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ สักผืน แล้วเปิดเครื่องให้ทำงานทิ้งไว้ด้วยระดับความร้อนต่ำ ประมาณ 5-10 นาที เครื่องก็จะจัดการกำจัดความเปียกชื้นให้หายไปพร้อมกับรอยยับบนเสื้อผ้า ที่สำคัญเมื่อเครื่องอบผ้าเสร็จแล้ว ให้รีบนำผ้าออกมาแขวนเลยทันที

7. ไม่ปั่นแห้งหลังซัก

          วิธีที่ง่ายที่สุดแต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย หลังซักเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ให้นำเสื้อผ้าเหล่านั้นไปแขวน จัดทรงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนนำไปตากแดด โดยไม่ต้องปั่นแห้งเพราะจะเกิดรอยยับ ซึ่งจะเกิดรอยยับน้อยจนอาจไม่ต้องรีดเลยก็ได้

8. เติมน้ำส้มสายชูตอนซัก

          นอกจากจะช่วยทำความสะอาดผ้าได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว น้ำส้มสายชูยังทำให้ผ้าเรียบไร้รอยยับได้อีกด้วย เพียงแค่เทน้ำส้มสายชูลงไปในเครื่องซักผ้าประมาณ 1 ถ้วยตวง ในระหว่างที่เครื่องกำลังทำงาน จะทำให้เสื้อผ้าไม่ยับจนเกินไป เผลอ ๆ ไม่ต้องรีดซ้ำเลยก็ได้

          เห็นไหมว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้เตารีดเพื่อกำจัดรอยยับบนเสื้อผ้าเสมอไป เพราะวิธีทางลัดเหล่านี้ก็สามารถทำให้เสื้อผ้ากลับมาเรียบและอยู่ในสภาพพร้อมสวมใส่ได้เหมือนกัน หากเกิดเหตุเร่งรีบหรือมีปัญหากับเตารีดก็ลองนำวิธีดี ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปลองใช้กันดูนะคะ
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก whowhatwear, Racked และ Wikihow

http://home.kapook.com/view162928.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/hipster-outfits-winter/

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

5 วิธีสะเดาะลูกบิดพัง ไว้เปิดประตูเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน

วิธีสะเดาะลูกปิดประตูด้วยอุปกรณ์ใกล้ตัว เปิดประตูล็อกยามฉุกเฉิน เมื่อลืมกุญแจหรือประตูล็อกเองเนื่องจากใช้งานมานาน แต่ไม่สามรถเปิดได้ วันนี้มีวิธีเอาตัวรอดมาบอกแล้ว


          ปัญหาเกี่ยวกับประตูบ้านมีให้เห็นกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลืมกุญแจ ประตูล็อกเอง หรือลูกบิดล็อกตาย เนื่องจากผ่านการใช้งานมานาน แน่นอนว่าหลายคนคงจะมีกุญแจสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินกันอยู่แล้ว แต่สำหรับกรณีที่ไม่มีกุญแจ สามารถเปิดประตูได้เหมือนกัน เพียงแค่ทำให้สลักลูกบิดหลุดออกจากวงกบประตู ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีด้วยของใกล้ตัวกับขั้นตอนเหล่านี้


1. พับบัตรเครดิตขึ้น แล้วสอดส่วนที่พับตั้งขึ้นเข้าไปในร่องระหว่างประตูกับลูกบิดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามสอดบัตรให้เข้าไปในช่องระหว่างสลักลูกบิดและวงกบประตูแล้วรูดบัตรลงให้สลักหลุดออกมา 


ภาพจาก Greycatshow
  
2. เสียบไขควงขนาดเล็กเข้ากับตรงกลางของรูเสียบกุญแจของลูกบิดด้านนอก ดันไขควงเข้าไปจนสุด จากนั้นใช้คีมหนีบไขควงให้แน่นแล้วหมุน ทิศทางการหมุนขึ้นหรือหมุนลงจะขึ้นอยู่กับชนิดของลูกบิด ทั้งนี้ให้หมุนไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้กุญแจเปิดตามปกติ  


ภาพจาก Mr. Locksmith


   


3.  สำหรับลูกบิดประตูห้องน้ำหรือห้องนอน สามารถเปิดได้ง่าย ๆ เนื่องจากเป็นลูกบิดที่มีไว้ป้องกันความเป็นส่วนตัวเท่านั้น ระบบล็อกจึงไม่ยุ่งยาก ให้ใช้เหรียญกดเข้ากับรูกลางลูกบิดแล้วหมุน อีกวิธีหนึ่งคือใช้ปลายกรรไกรเสียบกับรูตรงกลางแล้วหมุนเปิด


ภาพจาก Stuff To Know


4.  ดัดลวดหนีบกระดาษให้ตรง ตัดส่วนปลายให้งอตั้งฉาก เสียบประแจหกเหลี่ยมขนาดเล็กที่สุดเข้าไปในรูกุญแจแล้วหมุนค้างไว้ จากนั้นแหย่คลิปหนีบกระดาษเข้าไปในด้านบนของรูกุญแจ แหย่เข้า-ออกจนกระทั่งสลักหลุด จากนั้นหมุนประแจลงมาให้สุดแล้วดันประตูให้เปิดออก


ภาพจาก How to Pick a Lock




5.  ใช้ไขควงงัดพานพับ โดยให้ใช้ไขควงปากแบนเสียบเข้าไปในระหว่างแกนพานพับและข้อพับด้านบน ใช้ค้อนตีตะปูตอกไขควงเข้าไปให้แน่น จากนั้นแงะแกนบานพับขึ้นจนกระทั่งแกนบานพับหลุดออกมา สำหรับวิธีนี้ให้ไช้เมื่อสลักล็อกตาย ไม่สามารถเปิดได้



ภาพจาก expertvillage

           

สำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนลูกบิดประตูใหม่ สามารถซ่อมลูกบิดเองได้ง่าย ๆ ตามวิธีนี้เลย ติดตามวิธีซ่อมและเปลี่ยนลูกบิดประตูง่าย ๆ ไม่ใช่ช่างก็ทำได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikihow, Greycatshow, Mr. Locksmith, Stuff To Know, How to Pick a Lock และ expertvillage
http://home.kapook.com/view162995.html