วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับดูแลผนังทาสีให้สวย ด้วยเทคนิคสุดแจ่ม


         ผนังห้องที่เคยทาสีไว้อย่างสวยงาม อาจมีปัญหารอยเลอะเทอะเปรอะเปื้อนให้ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจก็เป็นได้ เพราะบางครั้งคราบสกปรกที่รอยต่าง ๆ ก็ทำให้ผนังดูเก่าพาให้ห้องนั้นดูโทรมไม่น่ามองไปเลยก็ได้ ถ้าหากคุณอยากให้สีที่ทาผนังห้องยังคงความคงทนอยู่เสมอ กระปุกดอทคอมมีวิธีดูแลสีผนังมาฝากกันจ้า


 1. เรียนรู้วิธีกำจัดรอยเปื้อน

           อย่าเพิ่งตกใจเวลาที่กำแพงเกิดรอยเปื้อนไม่น่ามอง เพราะคุณสามารถกำจัดรอยน่าเกลียดนั้นได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานผสมน้ำเล็กน้อยมาเช็ดเบา ๆ และถ้าหากยังไม่ออกอีก อาจลองผสมสบู่เหลวเข้าไปด้วยก็ได้ อย่างไรก็ดี จำไว้ด้วยล่ะว่าต้องเบามือเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดผนังเสียหายขึ้นมาจะต้องมาเสียใจเอาทีหลังนะ หากเช็ดทันทีหลังจากเกิดรอยเปื้อนก็ยิ่งดี เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้คราบจะยิ่งติดทนจนเช็ดออกยากขึ้นอีก


2. เลือกทำความสะอาดให้ถูกวิธี


           คราบเปื้อนตามกำแพงอย่าง พวกไวน์หรือซอสมะเขือเทศ เพียงแค่ใช้ฟองน้ำชุบน้ำพอหมาดเช็ดออกเบา ๆ ก็เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากเป็นคราบที่มีความมันผสมอยู่ด้วยอย่าง รอยลิปสติก หรือสีเทียน จะกำจัดออกยากว่าเสียหน่อย จึงจำเป็นต้องใช้สบู่เหลวหรือน้ำยาล้างจานเข้าช่วย


3. ป้องกันร่องรอยตั้งแต่เนิ่น ๆ


           แทนที่จะมาโวยวายเอาตอนที่กำแพงเกิดรอยขีดข่วนน่าเกลียดไปแล้ว ก็ป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างระมัดระวังหน่อยดีกว่านะคะ ด้วยการติดขอบยางไว้ตามมุมของเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น โต๊ะหนังสือ เพื่อที่เวลาเสียดสีจะได้ไม่เกิดร่องรอยบนกำแพง นอกจากนี้เวลาจะแขวนรูปก็ควรติดตะขอสำหรับแขวนสัก 2 อันขึ้นไปด้วย รูปจะได้ไม่สั่นไหวไปมาจนหลุดได้ง่ายและสร้างร่องรอยบนกำแพงให้กวนใจ


4. ใช้เครื่องดูดฝุ่นอย่างระมัดระวัง


           เข้าใจดีว่ามันก็ต้องมีการทำความสะอาดกันบ้าง เพราะคงไม่มีใครอยากให้บ้านตัวเองเต็มไปด้วยหยากไย่รกเต็มกำแพงหรอกจริงไหม ซึ่งหลาย ๆ คนก็คงเลือกวิธีทำความสะอาดที่สะดวกรวดเร็วอย่างการใช้เครื่องดูดฝุ่นอยู่ แล้ว แต่ขอแนะนำเสียหน่อยว่าถ้าจะใช้เครื่องดูดฝุ่นก็ควรติดแปรงตรงปลายไว้ ระหว่างทำความสะอาดด้วยดีกว่า เพราะมันจะช่วยให้ผนังของคุณสะอาดขึ้นได้โดยไม่มีรอยขีดข่วน


5. ทาสีให้ติดทนทานแต่แรก

           หลาย ๆ คนที่ไม่มีประสบการณ์ทาสีมาก่อนมักทาสีลงบนกำแพงทันที โดยไที่ไม่ทำความสะอาดให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งการทำแบบนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างจังเลยทีเดียว เพราะถ้าคุณทาสีทั้งอย่างนั้น สีก็จะไปติดอยู่ตามคราบฝุ่นซึ่งทำให้สีที่คุณทาเกิดรอยตะปุ่มตะป่ำ หรือหากเศษฝุ่นหลุดออกก็จะเกิดรอยโหว่ไม่สม่ำเสมอ จนกลายเป็นผนังที่ไม่น่ามอง ดังนั้นการทำความสะอาดก่อนทาสีจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากทีเดียวจ้า

           ทั้งนี้ คุณควรรู้ไว้ด้วยว่ายิ่งสีสว่างเท่าไหร่ก็จะยิ่งผสมลาเท็กซ์โพลีเมอร์ซึ่ง ช่วยป้องกันคราบเปื้อนเลอะเทอะได้ไว้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นลองเอาสีพวกนี้ไปแต่งห้องที่เลอะได้ง่าย อย่างห้องครัว หรือห้องนอนเด็ก ดูก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวเหมือนกันนะคะ



วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

5 จุดสำคัญของบ้านที่คุณไม่ควรมองข้าม



        ถึงแม้บ้านของคุณจะมีราคาสูง ลิบลิ่วขนาดไหน แต่วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้สร้างบ้านก็ต้องเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเหมือน ๆ กัน ซึ่งถ้าหากคุณปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจดูแลบ้าน ปัญหาจากจุดเล็ก ๆ ก็อาจจะลุกลามจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ซึ่งตอนนั้นคุณอาจจะต้องใช้เงินที่คุณเก็บมาทั้งชีวิตไปกับการซ่อมแซมบ้านก็ ได้ ดังนั้นก่อนที่บ้านของคุณจะทรุดโทรมลง เรามาดูแลบ้านกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า โดยเริ่มจาก ..


1.
ฐานของบ้าน

         
เมื่อดินใต้ฐานบ้านเกินการขยายและยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุที่ทำให้ฐานของบ้านคุณเกิดรอยร้าวได้ง่าย ฉะนั้นคุณจึงควรสังเกตรอยร้าวอยู่เสมอ ซึ่งรอยร้าวเหล่านี้ทำให้น้ำซึมเข้าไปทำลายโครงสร้างของบ้านได้ คุณจึงควรอุดรอยร้าวเหล่านี้ ด้วยการเซาะปูนบริเวณที่มีรอยร้าวออก ให้กว้างประมาณ 3 - 5 เซนติเมตร และลึกประมาณ 1 - 2 เซนติเมตร จากนั้นก็โบกปูนใหม่ทับลงไป แค่นี้น้ำก็ซึมเข้าสู่โครงบ้านไม่ได้แล้วค่ะ

2.
ใต้อ่างล้างจาน

         
คุณลองเปิดน้ำทิ้งไว้ แล้วลองดูนะคะว่ามีน้ำซึมน้ำรั่วตรงไหนบ้างหรือเปล่า ส่วนมากน้ำจะรั่วตรงรอยข้อต่อ มีวิธีเช็คง่าย ๆ โดยใช้กระดาษทิชชู่พันตรงรอยข้อต่อ ถ้าทิชชู่เปียกแสดงว่าตรงนั้นมีน้ำรั่วแล้วล่ะ แต่คุณก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะคุณสามารถซ่อมเองได้ง่าย ๆ เริ่มจากปิดก๊อกน้ำให้สนิท เช็ดบริเวณรอบรั่วนั้นให้แห้ง จากนั้นก็ใช้กาวอีพ็อกซี่ หรือกาวสารพัดประโยชน์ ทาบริเวณรอยแตก และใช้เทปพันรอบรอยแตกหนึ่งรอบ แล้วทากาวทับอีกรอบนึง เมื่อกาวแห้งแล้ว ก็เปิดน้ำอีกครั้งเพื่อไล่อากาศออกจากท่อ คราวนี้คุณก็ใช้อ่างล้างหน้าได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ

3.
รางน้ำ

         
โดยเช็คตั้งแต่ช่องระบายน้ำเลยว่า มีขยะอุดตันทางระบายน้ำ และมีขยะกีดขวางทางน้ำไหลในรางน้ำหรือไม่ เพราะถ้าหากรางน้ำรับน้ำหนักมากเกินไป รางก็อาจจะรั่วและพังลงมาได้ ฉะนั้นคุณควรทำความสะอาดรางน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมรอบ ๆ บ้านของคุณด้วยว่ามีเศษใบไม้ เศษขยะเยอะหรือเปล่า ซึ่งถ้ามีรอยน้ำรั่วก็ใช้ซิลิโคนยิงบริเวณรูรั่ว หรือแผ่นปะรอยรั่วเพื่อซ่อมแซม

4.
พื้นไม้
   
         
ถ้าหากคุณปูพื้นไม้บริเวณระเบียง หน้าประตู หรือดาดฟ้า ก็ควรหมั่นดูแลรักษาบ่อย ๆ เพราะไม้ที่โดนแดดโดนลมเป็นประจำนั้น จะเกิดเชื้อราได้ง่าย ดังนั้นคุณควรมีน้ำยากำจัดเชื้อราติดบ้านเอาสักขวดสองขวด เพื่อกำจัดเชื้อราก่อนที่ลุกลามเข้าไปในบ้าน และถ้าหากบริเวณนั้นมีแผ่นไม้ผุกร่อน หรือแตกหัก ก็ควรจะซื้อแผ่นใหม่มาเปลี่ยน ถึงแม้สีไม้แผ่นใหม่จะดูแตกต่างจากของที่คุณมีอยู่ แต่แสงแดดและลมก็จะทำให้ไม้แผ่นใหม่ดูกลมกลืนไปกับไม้แผ่นเก่าเองแหละค่ะ

5.
ผนังบ้านด้านนอก

         
เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ ปี สีของผนังบ้านก็เกิดการหลุดร่อน ถ้าคุณอยากจะทาสีใหม่ก็ควรลอกสีเก่าออกให้หมดซะก่อน จากนั้นก็ลองดูว่าผนังบ้านของคุณใช้วัสดุอะไร หากผนังบ้านของคุณเป็นผนังไม้ ก็ควรขัดด้วยกระดาษทรายซะก่อน จากนั้นก็ปัดฝุ่นผงออกไปให้หมด แล้วลงสีรองพื้นเพื่อกันเชื้อรา สุดท้ายก็ค่อยทาสีจริงเป็นขั้นตอนสุดท้าย ส่วนบ้านที่เป็นผนังปูนก็ควรปะรอยแตกร้าวก่อน จากนั้นจึงค่อยทำความสะอาดขัดเอาเศษปูนออกให้หมด แล้วลงสีรองพื้น ตามด้วยสีที่ต้องการอีกสองครั้ง แค่นี้บ้านของคุณก็จะสวยขึ้นเหมือนบ้านใหม่เลยล่ะ

         
นี่ก็เป็นเพียง 5 จุดหลัก ๆ ที่คุณควรจะดูแลและหมั่นตรอจสอบให้ดี ๆ เพื่อป้องกันความเสียหายในเบื้องต้นและป้องกันอุบัติเหตุที่จะตามมาด้วยนะคะ รู้แบบนี้แล้วก็ควรรีบลงมือทำซะตั้งแต่ตอนนี้เลย เพื่อบ้านที่สวยงาม ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานไปได้อีกนาน ๆ



วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

12 วิธีทาสีบ้านที่คนชอบทำ แต่มันพลาดอย่างแรง !


        การทาสีบ้านอาจดูเหมือนเรื่องง่าย แค่เอาแปรงจุ่มสีป้ายลงบนผนังก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก แต่รู้หรือไม่ว่าการทาสีบ้านที่หลายคนทำอยู่ กลับเป็นวิธีผิด ๆ ที่ไม่ควรทำเลยจริง ๆ

         การทาสีบ้าน ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันบ่อย ๆ เหมือนทำความสะอาดบ้าน ทำให้หลายคนยังไม่รู้ว่า การทาสีบ้านจริง ๆ แล้วมีวิธีที่จะทำให้การทาสีง่าย ราบรื่น และเสร็จไวขึ้น แต่ที่ทำให้การทาสีบ้านดูเป็นเรื่องยากก็เพราะว่าวิธีทาสีบ้านแบบผิด ๆ ที่ชอบทำกันเป็นประจำนี่แหละ แต่คิดว่าหลายคนน่าจะยังไม่รู้ตัวเลย วันนี้จะเอามาเฉลยให้ฟังว่ามีอะไรบ้างพร้อมนำวิธีที่ถูกต้องมาให้ฟัง

1. สีไม่ตรงกับที่คิดไว้ 


         เวลาที่ไปซื้อสีทาบ้านทางร้านมักจะมีตารางเทียบสีมาให้เลือก แต่ในบางครั้งเมื่อนำสีมาทาบ้านแล้วสีกลับไม่เหมือนในตารางที่เลือกไว้ นั่นก็เป็นเพราะว่าแสงไฟที่ร้านกับที่บ้านนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสีมาทาควรขอสีตัวอย่างกลับมาทาพื้นที่ก่อน ถ้าสีโดนแสงแล้วไม่ถูกใจจะได้เปลี่ยนสีใหม่ทันเวลาก่อนทาไปแล้วแต่ต้องมา นั่งเซ็งภายหลัง

2. เปิดฝาถังสีทิ้งไว้

         เพื่อความสะดวกหลายคนชอบเปิดฝาถังสีไว้ โดยลืมคิดไปว่าอาจจมีอุบัติเหตุที่ทำให้ถังล้มจนสีหกกระจายเต็มพื้น ฉะนั้นวิธีป้องกันคือควรปิดฝาถังสีทุกครั้งแม้ในระหว่างทำงาน เผื่อไว้ถ้าเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดสีจะได้ไม่เลอะพื้น โดยเฉพาะบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงควรกันไว้ให้ห่าง ไม่อย่างนั้นบ้านของคุณอาจจะเต็มไปด้วยรอยประทับจากเจ้าตูบ
3. ใช้ลูกกลิ้งทาผนังติดกับเพดาน

         สำหรับคนที่ใช้ลูกกลิ้งทาสีก็อาจจะกลิ้งจนลืมดูว่าสูงเกินไป จนทำให้สีจากลูกกลิ้งติดเพดานโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นก่อนทาควรหาเทปกาวติดเพดานกันสีเลอะเอาไว้ก่อนทา หรือทาสีเฉพาะส่วนกลางผนังก่อน แล้วค่อยใช้แปรงหรือลูกกลิ้งทาสีผนังบริเวณที่ติดกับเพดานในแนวขวาง ก็จะทำให้งานออกมาเนี้ยบโดยไม่ต้องตามแก้ทีหลัง

4. ทาสีซ้ำหลายรอบเกินไป

         ในการทาสีเฟอร์นิเจอร์ไม้ ประตู หรือตู้ ควรทาสีเพียงรอบเดียว แล้วค่อยทาสีย้ำเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่โดนสีก็พอ และการทาในส่วนเล็ก ๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจุ่มสีเพิ่มหากมีสีเดิมค้างอยู่ที่ขนแปรง ส่วนในกรณีที่จำเป็นต้องทาซ้ำควรรอบให้สีรอบแรกแห้งสนิทเสียก่อนแล้วค่อยลง สีเพิ่ม เพราะหากทำในขณะที่สีรอบแรกยังไม่แห้งดีจะทำให้เนื้อสีไม่เรียบ

5. เก็บสีไว้ในที่เย็น

         อุณหภูมิก็มีผลกับเนื้อสีเช่นกัน เช่น อากาศเย็นจะทำให้สีจับกันเป็นก้อน ดังนั้นหลังการใช้งานจึงควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ และไม่ทาสีในวันที่อากาศเย็นเพราะความชื้นในอากาศจะทำให้สีแห้งยาก ในทางกลับกันหากทาสีในวันที่อากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้สีแห้งเร็วจนอาจเกิดคราบและเกิดฟองอากาศ

6. ไม่ลอกสีเคลือบเงาก่อน

         บางคนอาจคิดว่าซื้อสีมาแล้วสามารถทาได้เลย สุดท้ายสีก็หลุดออกมาเป็นแผ่น ๆ จนต้องทาใหม่ ฉะนั้นจึงควรลอกสีเคลือบเงาโดยการขูดหรือใช้กระดาษทรายขัดออกก่อน หรือถ้าจะให้ดีก็ใช้น้ำยาลอกสีเคลือบผนังโดยเฉพาะ เพื่อให้สีที่ทาใหม่ติดแน่นทนนานไม่ต้องทาซ้ำบ่อย ๆ
7. ทาสีในที่สลัวหรือแสงน้อย

         การทาสีตอนเย็นหรือมีแสงน้อยนั้นถือว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ไม่เห็นความผิดพลาดและรอยต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรเปิดหน้าต่างให้ผนังโดนแสงธรรมชาติระหว่างการทำงาน เพื่อให้เห็นเนื้อสีที่แท้จริงเห็นรอยตำหนิอย่างชัดเจน

8. เลือกสีไม่เหมาะกับพื้นที่

         ไม่ว่าฝีมือการทาสีของคุณหรือของช่างจะเทพขนาดไหน แต่ถ้าเลือกสีผิดผนังบ้านก็จะดูไม่น่ามองอยู่ดี ฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้สีสะท้อนแสงหรือสีที่มีสารเคลือบเงากับบริเวณที่มี พื้นผิวไม่เรียบ เพราะจะยิ่งเป็นการเน้นให้ส่วนที่มีรอยตำหนิชัดขึ้น หรือถ้าสีใหม่ที่จะทานั้นเข้มกว่าสีเก่าให้ทาสีรองพื้นก่อน แต่หากไม่ควรทาสีเคลือบเงาทับผนังที่ทาสีเคลือบเงาไว้ก่อนหน้านี้ เพราะจะทำให้สีเพี้ยนและพังมาก

9. ลงสีทาไม้โดยไม่ผสมทินเนอร์

         ถ้าเป็นการทาสีผนังธรรมดานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทินเนอร์ก็ได้ แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้และตู้ต่าง ๆ จำเป็นต้องผสมทินเนอร์กับสีก่อนทา เพื่อลดความหนืดของเนื้อสี และทำให้สีทาง่ายและเรียบเนียนยิ่งขึ้น
10. ไม่ใช้สีกันคราบและความชื้น

         รอยด่างดำที่เกิดจากความชื้น อย่างเช่น คราบเชื้อรา ช่างเกะกะสายตาเสียจริง ๆ หลายคนเลยตัดสินใจทาสีใหม่เพื่อกลบคราบสกปรกที่แก้ไม่หาย แต่หากไม่แก้ที่ต้นเหตุสักวันก็เจอปัญหาแบบนี้อีกอยู่ดี โดยเฉพาะไม้ซึ่งเป็นวัสดุที่ไวต่อความชื้น ฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรทาสีกันคราบและความชื้นรองพื้นก่อนที่จะทาสี จริง        

11. ไม่ติดเทปตามขอบประตูและหน้าต่าง

         การทาสีบริเวณตามขอบประตูและหน้าต่างนั้นต้องใช้ความระวังมากกว่าพื้นที่ อื่น เพราะหากเผลออาจทำให้สีเลอะส่วนที่ไม่ต้องการจะทาได้ แถมบางพื้นที่อาจจะแก้ยากอีกต่างหาก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สีเปื้อนบริเวณอื่น ควรหาเทปกาวมาติดก่อนและลอกเทปหลังจากสีแห้ง จะได้ไม่ต้องปวดหัวเรื่องสีเปื้อนอีก

12. จุ่มแปรงลงถังสีทั้งอัน

         หลาย ๆ คนติดนิสัยชอบจุ่มขนแปรงลงถังสีทั้งหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วการทาสีใช้แค่ส่วนปลายขนแปรงเท่านั้น แถมการทำแบบนี้ยังทำให้สีเลอะบริเวณรอบข้างอีกต่างหาก ฉะนั้นจุ่มสีแค่ส่วนปลายจนถึงกึ่งกลางก็พอ จะได้ไม่เปลืองสีโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

         ถ้าใครที่กำลังวางแผนจะทาสีบ้านลองเอาวิธีที่เรานำมาฝากไปใช้กันได้นะคะ เพื่อสีทาบ้านที่อุตส่าห์ตั้งใจลงมือทำด้วยตัวเอง ออกมาจะได้สวยสมใจไร้รอยตำหนิราวกับมือโปรมาเอง !


http://home.kapook.com/view130971.html

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

วิธีซ่อมรอยขีดข่วนบนพื้นไม้เนื้อแข็งแบบง่าย ๆ


          วิธีซ่อมไม้เนื้อแข็ง จัดการกับรอยขีดข่วนบนพื้นไม้ให้หมดจด ใครที่กำลังมองหาเคล็ดลับเด็ด ๆ แบบนี้อยู่ วันนี้เราก็มีเคล็ดลับซ่อมแซมรอยตำหนิบนพื้นไม้เนื้อแข็งมาฝากด้วยจ้า เพราะ พื้นไม้เนื้อแข็งเป็นวัสดุปูพื้นที่สวยคลาสสิก มีสไตล์โดดเด่นเป็นของตัวเอง แต่มีข้อเสียอยู่นิดตรงที่ต้องดูแลพื้นไม้เนื้อแข็งให้มากหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดตำหนิเป็นรอยขีดข่วนได้ แต่ถ้าตอนนี้พื้นไม้เนื้อแข็งของคุณเกิดรอยตำหนิซะแล้ว เอาเป็นว่ามาศึกษาวิธีซ่อมแซมรอยขีดข่วนบนพื้นไม้เนื้อแข็งไว้ก็ดีนะคะ จะได้จำเคล็ดลับไปทำกันดู


ขัดเบา ๆ ด้วยฝอยขัดหม้อ

          สำหรับรอยขีดข่วนบนพื้นไม้เนื้อแข็งที่ไม่ลึกมากนัก แบบนี้ใช้ฝอยขัดหม้อชนิดเส้นใยบาง ๆ มาถูกำจัดรอยตำหนิตามลายเนื้อไม้เบา ๆ จนกว่ารอยขีดข่วนที่มีอยู่จะค่อย ๆ จางหายไปได้เลย หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดอีกรอบก็เสร็จ


กระดาษทรายขัดไม้ขั้นเด็ดขาด

          หากว่ารอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนพื้นไม้เนื้อแข็ง มีความลึกพอสมควร ขนาดฝอยขัดหม้อก็ยังเอาไม่อยู่ ให้คุณใช้กระดาษทรายเบอร์ 120 หรือ P120 ขัดเบา ๆ โดยขัดไปตามลายเนื้อไม้ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนที่เพิ่มขึ้น จากนั้นเคลือบผิวไม้เพื่อป้องกันริ้วรอยอีกรอบ


ปาดทับ กลบรอยขีดข่วน

          ขั้นตอนนี้แนะนำให้ใช้เกรียงพลาสติก ปาดสีโป๊วไม้ (Wood Filler) ลงไปบนรอยขีดข่วนที่เกิดขึ้น แล้วปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ ทั้งนี้คุณต้องเลือกสีโป๊วไม้ ที่มีสีใกล้เคียงกับพื้นไม้เนื้อแข็งด้วยนะคะ เสร็จแล้วก็ใช้กระดาษทรายเบอร์ 180 ขัดส่วนเกินของน้ำยาเคลือบออกให้หมดจด


เคลือบเงาคืนความเนี้ยบให้เนื้อไม้

          หลังจากซ่อมแซมรอยขีดข่วนบนเนื้อไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดท้ายด้วยการใช้น้ำยาเคลือบเงาไม้ หรือโพลียูริเทนมาเคลือบปิดร่องรอยตำหนิบนเนื้อไม้ให้เนียนเนี้ยบเหมือนเดิม


          รอยตำหนิที่เกิดขึ้นบนเนื้อไม้ หากไม่รีบจัดการซ่อมแซมเร็ว ๆ ร่องรอยเหล่านี้อาจจะขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดพื้นไม้เนื้อแข็งของบ้านก็คงมีสภาพที่ดูไม่จืด ฉะนั้นพื้นไม้เนื้อแข็งบ้านไหนประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ ลองนำขั้นตอนที่เรามาบอกต่อไปจัดการกันดูนะจ๊ะ



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

ต้นไม้จัดสวน 10 ไม้ประดับทนแดดสำหรับจัดสวนหน้าบ้าน



          นับวันอากาศยิ่งร้อนขึ้นทุกปี หากเลือกต้นไม้จัดสวนที่ไม่เหมาะกับอากาศบ้านเรา เหล่าต้นไม้คงตายยกสวนแน่ ๆ มาดูกันดีกว่าว่ามี ต้นไม้จัดสวน ต้นใดบ้างที่สามารถทนแดดของเมืองร้อนได้และไม่ต้องดูแลบ่อย

          อากาศ บ้านเรามีแต่ร้อนกับร้อนมาก ฝนตกประปราย และลมหนาวพัดมานิดหน่อย จะให้เอาไม้เมืองหนาวมาปลูกก็คงจะโตยากหรืออาจไม่แข็งแรงเท่า จะดีกว่าไหมหากลองหันมาดูไม้ประดับสำหรับจัดสวนเมือง ร้อนหรือสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศของบ้านเรา เพราะความสวยงามของไม้เมืองร้อนก็ไม่ได้น้อยไปกว่าไม้เมืองหนาวเลยจริง ๆ ขนาดไม้ประดับก็ยังมีสีสันให้เชยชมชื่นใจ ด้วยต้นไม้จัดสวน 10 ชนิดที่เหมาะแก่การจัดสวนในบ้านเรามากที่สุด
 


1. โกสน

          โกศลเป็นไม้ประดับมงคลที่อยู่ในตระกูลเดียวกับโป๊ยเซียน ลักษณะเป็นทรงพุ่ม ใบเรียวยาว และมีสีสันแตกต่างกันออกไป คนไทยสมัยก่อนเชื่อว่าหากบ้านไหนปลูกโกสนไว้ก็เท่ากับการสร้างบุญสร้างกุศล จะส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนี้โกสนยังช่วยดูดซับสารพิษโดยรอบได้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การนำมาจัดสวนหน้าบ้านเพราะเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ดูแลด้วยการรดน้ำให้เยอะ 1 ครั้งต่อวัน หมั่นเติมปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกในบริเวณโคนต้นเพียงเดือนละ 1 ครั้ง

2. เฟิร์น

          หากพูดถึงไม้ประดับที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้านดูเขียวขจีเหมือนป่าแล้วละก็ ต้องนึกถึง เฟิร์น เป็นอันดับแรก ซึ่งแบ่งออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์และยังเป็นไม้มงคลยอดนิยมที่ช่วยเสริม เกียรติยศของครอบครัวได้อีกด้วย จะใส่กระถางแขวนหรือปลูกลงดินก็ควรให้อยู่ในที่ที่มีแดดรำไรและมีความชื้น สูงเล็กน้อย ดูแลด้วยการรดน้ำให้ชุ่มทุกวันแต่อย่ารดน้ำเยอะจนแฉะ จากนั้นนำซากใบไม้มาคลุมหน้าดินป้องกันความชื้นระเหย นอกจากนี้ควรละลายปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกกับน้ำรดลงไปที่โคนต้นเดือนละครั้ง พร้อมกับตัดเล็มส่วนที่เน่าทิ้งไปอย่างสม่ำเสมอ

3. หมากผู้หมากเมีย

          หมากผู้หมากเมียเป็นไม้ประดับที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับสวนไม้ประดับ ทั่ว ๆ ไปได้ เนื่องจากเป็นพืชใบที่มีสีสันสวยงาม มีลักษณะทรงพุ่ม ใบเรียวยาว และส่งกลิ่นหอมในตอนกลางคืน หมากผู้หมากเมียปลูกง่าย ดูแลง่ายเพียงแค่ตั้งให้โดนแดดรำไร และรดน้ำแต่พอดีเพื่อป้องกันน้ำขัดในดินจนรากเน่าเสีย นอกจากนี้ควรหมั่นใส่ปุ๋ยบำรุงทุก 3 เดือน

4. บอนสี

          ขึ้นชื่อว่าเป็น ราชินีแห่งใบไม้ขนาดนี้จะไม่นำมาเสนอก็คงเป็นไปไม่ได้ บอนสีมีด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ เป็นไม้มงคลที่จะช่วยคุ้มครองให้คนในบ้านอยู่อาศัยอย่างมีความสุขและร่มเย็น มีความสูงตั้งแต่ 0.5-1 เมตร ลักษณะใบแผ่กว้างและยาว มีสีสันและลวดลายสวยงาม ส่วนการดูแลจะต้องตั้งในทิศทางที่แดดรำไร รดน้ำมากแต่ต้องไม่แฉะจนเกินไปทั้งเช้าและเย็น เพราะต้องอาศัยความชื้นควบคุมอุณหภูมิขณะสร้างเม็ดสีจากแสงแดด

5. จั๋ง

          แม้จั๋งจะเป็นพืชในตระกูลปาล์มแต่ก็ถือว่าเป็นปาล์มแตกกอ ที่นิยมนำมาจัดสวนและปลูกในอาคาร เพราะเป็นไม้ประดับที่ช่วยดูดซับสารพิษได้ดี จั๋งมีถิ่นกำเนิดในแถบบริเวณบ้านเราซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ จั๋งเชียงใหม่และจั๋งลาว ในบ้านเรานั้นนิยมนำจั๋งเชียงใหม่มาจัดสวนกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะสูงแค่ 5 เมตรเมื่อโตเต็มที่ นอกจากนี้ยังเลี้ยงง่ายดูแลไม่ยาก แค่ปลูกให้อยู่ในที่ที่แดดรำไร รดน้ำปานกลาง เติมปุ๋ยหมักแค่เดือนละ 1 ครั้งด้วยการละลายน้ำแล้วรดไปตรงโคนต้น แต่สำหรับคนที่ปลูกจั๋งไวในกระถางต้องเปลี่ยนกระถางให้ใหม่ทุกปีด้วยนะคะ

6. สาวน้อยประแป้ง

          ไม้ประดับยอดนิยมที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น สาวน้อยประแป้ง ที่มีลักษณะใบกว้างและยาว มีจุดประสีขาวกลางใบช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับสวนไม้ประดับได้ เป็นพืชที่ชอบความชื้นและสามารถทนอากาศแล้งได้เป็นอย่างดี แนะนำให้ปลูกด้วยดินร่วนซุยและปลูกในบริเวณที่มีแดดรำไร ไม่ควรรดน้ำมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคราได้ และต้องไม่ลืมเพิ่มสารอาหารด้วยการละลายปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในน้ำเปล่าเพื่อ รดแค่เดือนละ 2 ครั้ง

7. สับปะรดสี

          เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์แต่งสวนเลยก็ว่าได้นะคะสำหรับ สับปะรดสี  ไม้ประดับในสวนที่มีลักษณะใบให้สีสันสวยงาม ควรปลูกในกาบมะพร้าวที่ระบายน้ำและอากาศได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสับปะรดสีมีรากแบบอากาศ ควรดูแลตามธรรมชาติไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพราะจะทำให้ต้นไม่ทนทานต่อสภาพโดย รอบ แนะนำให้ปลูกไว้ในทิศทางที่แดดส่องถึงเล็กน้อยเพื่อให้ใบออกสีสันได้อย่างพอ ดิบพอดี รดน้ำปานกลาง ถึงแม้จะชอบความชื้นแต่ก็อย่าปล่อยให้ชื้นแฉะจนเกินไป

8. เตยหอม

          เตยหอมถือว่าเป็นไม้ประดับและสมุนไพรที่คู่ควรกับคนไทยมากที่สุด เพราะนอกจากใช้ประดับสวนให้สวยงามได้แล้ว มันยังนำมาทำอาหารและใช้เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายได้อีกด้วย มีลักษณะเป็นไม้ทรงพุ่ม ใบเรียวยาว มีร่องตรงกลางใบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว วิธีการดูแลรักษาก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก แค่หมั่นกำจัดวัชพืชที่คอยแย่งสารอาหารให้หมดไป ปลูกในพื้นที่ที่มีแดดรำไร แต่หากปลูกไว้ริมน้ำก็จะดีกว่าเพราะเตยหอมชอบความชื้น พร้อมกับใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกเพื่อบำรุงต้นให้งอกงาม

9. เล็บครุฑ

          เล็บครุฑเป็นไม้ประดับที่คนนิยมนำมาปลูกประดับบ้านและสวนมากที่สุดต้นหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้ริมรั้ว ลำต้นมีลักษณะใบกลม มีรอยหยักคล้ายขนนก มีหนามคล้ายเล็บครุฑ ขอบใบสีครีม ดูแลรักษาให้ดินอยู่ในสภาพที่ระบายน้ำได้สะดวก ตั้งในทิศทางที่มีแสงแดดส่องถึงและแดดไม่จัดจนเกินไป หมั่นตัดแต่งกิ่งก้านให้สวยงามเมื่อต้นเริ่มมีขนาดใหญ่ รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ พรวนดินและใส่ปุ๋ยบ้างเป็นครั้งคราว

10.  ศุภโชค

          ศุภโชค อีกหนึ่งไม้ประดับมงคลที่เชื่อกันว่าหากปลูกไว้ในบ้านจะช่วยเรียกทรัพย์ให้ ไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย เป็นไม้ยืนต้นสูงเต็มที่ประมาณ 6-8 เมตร ลักษณะใบเรียวยาวและเรียงติดกันแผ่กิ่งทรงพุ่ม ส่วนการดูแลนั้นก็ไม่ยากเพียงอย่าให้โดนแสงโดยตรง นอกนั้นก็ดูแลตามปกติทั่วไป รดน้ำปานกลาง และใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มสารอาหารบ้าง

          ใครที่กำลังมองหาไอเดียแต่งสวนแต่ไม่อยากสรรหาพรรณไม้เมืองหนาวให้ยุ่งยาก ก็ลองนำไอเดียพรรณไม้เมืองร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปแต่งสวนดูสิคะ แล้วจะรู้ว่ามันสวยงามเหมาะกับสภาพอากาศของบ้านเราขนาดไหน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก missouribotanicalgarden, gardenandhome, daviddomoney, decorreport, suansavarose และ panmai
http://home.kapook.com/view138599.html


วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

วิธียาแนวห้องน้ำด้วยตัวเองใน 5 ขั้นตอน


        ยาแนวกระเบื้องที่ติดอยู่ระหว่าง บริเวณอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ และผนังห้องน้ำ มีหน้าที่กันรอยรั่ว ป้องกันไม่ให้น้ำแทรกซึมผ่านผนัง หรือซึมลงสู่พื้นกระเบื้องด้านล่าง แต่หากเวลาผ่านไปนาน ๆ ยาแนวที่เคยขาวสะอาดก็อาจจะเกิดรอยดำจากเชื้อรา และเกิดรอยแตกร้าวชำรุดบ้าง ซึ่งก่อนที่น้ำจะแทรกซึมเข้าไปในผนังบ้าน สร้างความเสียหายนานับประการให้บ้านสวย ๆ ของคุณเราก็มาดูวิธียาแนวกระเบื้องห้องน้ำด้วยตัวเอง แล้วมาลงมือกันเลยดีกว่า !


อุปกรณ์ที่ต้องใช้

        1. เครื่องมือขูดร่องกระเบื้อง

        2. มีด หรือเกรียง

        3. น้ำยาฟอกขาว ¼ ถ้วยตวง

        4. ผงซักฟอก 1/3 ถ้วยตวง

        5. ฟองน้ำชนิดแผ่น

        6. ผ้าแห้ง

        7. ยาแนวกระเบื้อง หรือซิลิโคนยาแนว

        8. ปืนยิงซิลิโคน

วิธีทำ

     1. ใช้เครื่องมือขูดร่องกระเบื้อง ขูดเอายาแนวอันเก่าออกให้หมดจด ถ้ายาแนวยังแข็ง ไม่หลุดออกมาง่าย ๆ อาจจะต้องใช้มีดหรือเกรียงช่วยงัดอีกแรง

     2. ผสมน้ำยาฟอกขาว ¼ ถ้วยตวง + น้ำ 2 ถ้วยตวง + ผงซักฟอก 1/3 ถ้วยตวง เข้าด้วยกัน จากนั้นราดทำความสะอาดร่องกระเบื้องที่เต็มไปด้วยเชื้อรา และคราบสกปรกให้หมดจด (ขั้นตอนผสมน้ำยาอย่าลืมใส่ถุงมือยางป้องกันอันตรายจากสารเคมีด้วยนะคะ)

     3. เช็ดร่องกระเบื้องด้วยผ้าจนพื้นที่แห้งสนิท ถ้าไม่แน่ใจอาจจะใช้ไดร์เป่าร้อนอีกครั้งก็ได้

     4. สวมซิลิโคนยาแนวกับปืนยิง จากนั้นยิงซิลิโคนตามแนวร่องกระเบื้องได้เลย แต่หากคุณไม่แน่ใจว่าจะยาแนวซิลิโคนได้ตรงแนว และสวยงามหรือเปล่า แนะนำให้แปะเทปกาวสีแจ่ม ๆ ห่างจากกำแพง 1/8 นิ้ว 1 แถบ และอีกด้านหนึ่งให้แปะเทปกาวห่างจากอ่างล้างหน้าเป็นระยะ 1/8 นิ้วด้วยเช่นกัน คราวนี้ก็จะมีแนวให้บีบซิลิโคนได้ง่าย และเป๊ะที่สุดแล้วจ้า

     5. หลังจากยาแนวเรียบร้อย และปล่อยให้ซิลิโคนยาแนวแห้งแล้ว ขั้นตอนนี้ก็ได้เวลานำฟองน้ำชุบน้ำให้หมาด มาเช็ดเก็บรายละเอียดอีกครั้ง


          เห็นไหมคะว่าการซ่อมแซมยาแนวห้องน้ำทำไม่ยากเลยจริง ๆ เพียงแค่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็ยาแนวกระเบื้องด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องง้อช่างฝีมือเลยล่ะ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

7 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลี้ยงหมาในคอนโด


         เลี้ยงหมาในคอนโด คงเป็นความฝันของชาวคอนโดที่รักสุนัขทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่คอนโดแล้วก็มักจะมีกฎมากมายตามมา ดังนั้นก่อนเลี้ยงหมาในคอนโด ก็คงต้องเตรียมตัวกันหน่อย ส่วนจะทำอย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากกันจ้า

          เพื่อนรักสี่ขาอย่างน้องหมาเป็นสัตว์ที่แสนรู้ และช่วยคลายความเหงา ไปพร้อม ๆ กับปกป้องที่อยู่อาศัยของเราให้ปลอดภัยจากผู้บุกรุกได้อีกด้วย หลายบ้านก็เลยเลี้ยงน้องหมา และผูกพันกับเจ้าสี่ขาแสนรู้อย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อย้ายมาอยู่คอนโด ห้องสี่เหลี่ยมขนาดจำกัดที่ไม่มีพื้นที่กว้างขวางพอจะให้เขาวิ่งเล่น แบบนี้แล้วเราจะเลี้ยงสุนัขในคอนโดได้หรือเปล่า ? หากใครมีข้อสงสัยตามนี้ ลองมาศึกษาข้อมูลเอาไว้พิจารณาเรื่องเลี้ยงสุนัขในคอนโดให้ชัด ๆ อีกทีเพื่อความแน่ใจดีกว่า

1. ตรวจสอบข้อกำหนดทางคอนโด


          อันดับแรกคุณควรต้องรู้ก่อนว่า ทางคอนโดเขาอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้หรือไม่ เพราะส่วนมากแล้วคอนโด หรือหอพักมักจะมีข้อห้ามในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดพอสมควร ด้วยเหตุผลและปัจจัยสมควรต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของน้องหมาแสนรัก ก็ควรสอบถามทางคอนโดให้แน่ใจ น้องหมาจะได้ไม่ถูกอัปเปหิไปอยู่ที่อื่น

2. เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

          สำหรับคอนโดที่ไม่มีกฎเกณฑ์ว่าห้ามเลี้ยงสัตว์อย่างเข้มงวด และคุณสังเกตเห็นว่า ห้องอื่น ๆ เขาก็เลี้ยงน้องหมาน้องแมวกันทั้งนั้น กรณีนี้คุณอาจจะเสี่ยงเลี้ยงสุนัขในคอนโดได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องคอยรับมือกับสถานการณ์ เช่น ทางคอนโดเรียกค่าเสียหาย หรือบีบให้คุณย้ายออก เผื่อไว้ด้วยนะคะ ซึ่งหากว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ คุณสามารถฟ้องร้องกลับได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ควรต้องตรวจสอบกฎระเบียบและข้อตกลงของทางคอนโดให้แน่ชัดก่อนว่า เขาไม่มีข้อห้ามในการเลี้ยงสัตว์ระบุไว้จริง ๆ

3. ดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ดีที่สุด

          ในกรณีที่คุณสามารถเลี้ยงน้องหมาในคอนโดได้อย่างที่ต้องการ ประเด็นต่อมาที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์เลี้ยงของเรากับห้องข้างเคียง เพราะถ้าเพื่อนบ้านของคุณไม่ปลื้มสัตว์เลี้ยงเท่าไร แถมเจ้าสี่ขาจอมซนของเรายังเผลอไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เขาบ้างในบาง ครั้ง คุณอาจจะเจอกรณีพิพาทกับเพื่อนบ้านเอาได้ ดังนั้นอย่าลืมพาน้องหมาไปฝึกให้เขามีพฤติกรรมน่ารักน่าเอ็นดูกับทุกคนด้วย นะจ๊ะ

4. จัดที่ทางให้พร้อม

          สุนัขเป็นสัตว์ที่มีนิสัยคึกคัก ซึ่งคุณควรจะหาโอกาสพาน้องหมาออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะบ่อย ๆ พร้อมกันนั้นก็ต้องจัดการที่ทางให้เขาขับถ่ายได้อย่างสะดวกด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้เขาขับถ่ายผิดที่ผิดทางเด็ดขาดเลยเชียว และต้องเก็บสิ่งปฏิกูลของเขาให้หมดเกลี้ยงไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วย

5. เลือกพันธุ์สุนัขให้เหมาะสม

          สุนัขบางพันธุ์ไม่ต้องการพื้นที่กว้างขวางมากนัก โดยเฉพาะกับสุนัขพันธุ์เล็ก แต่สุนัขพันธุ์ขนาดกลางอย่าง ฟอกซ์ เทอร์เรียร์, สุนัขพันธุ์ เกรย์ฮาวด์ หรือสุนัขพันธุ์ขนาดมหึมาอย่างนิวฟันด์แลนด์ ก็มีนิสัยที่เหมาะจะอาศัยอยู่ในพื้นที่จำกัดด้วยเช่นกันจ้า แต่ทางที่ดีเลือกน้องหมาพันธุ์เล็กมาเลี้ยงน่าจะดีที่สุด

6. คอนโดอยู่ชั้นต่ำเท่าไรยิ่งดี

          หากคุณต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโด ถ้าเป็นไปได้ลองเลือกห้องที่อยู่ชั้นต่ำ ๆ เข้าไว้จะดีที่สุด เพราะสุนัขจะได้เดินออกไปไหนมาไหนได้สะดวกมากขึ้น แถมไม่ต้องคอยลุ้นว่าเขาจะออกไปเล่นนอกระเบียงจนพลัดตกลงไปข้างล่างให้เป็น อันตรายด้วยนะคะ

7. ตัดสินใจดี ๆ อีกครั้ง

          ถ้าคุณเป็นคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านเกือบทั้งวัน รวมทั้งวันหยุดก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดคอนโดสักเท่าไร อย่างนี้อย่าเพิ่งเลี้ยงน้องหมาให้เป็นภาระเลยดีกว่าค่ะ เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างขี้เหงา และถ้าเขาถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง เขาอาจจะส่งเสียงเห่า หรือกัดข้าวของในคอนโดของคุณให้เสียหายได้

          ใครที่กำลังคิดอยากจะเลี้ยงน้องหมา หรือสัตว์เลี้ยงในคอนโด ก็ลองพิจารณาข้อควรคิดก่อนตัดสินใจรับเขามาเลี้ยงด้วยนะคะ ที่สำคัญที่สุดเมื่อเลี้ยงเขาแล้ว ก็ควรต้องดูแลอย่างดี ไม่ปล่อยให้เขาเหงาเดียวดายบ่อย ๆ เด็ดขาดนะคะ


http://home.kapook.com/view86297.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/pugs/

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

เน่าแน่ ! ถ้ายังไม่หยิบของ 15 อย่างนี้ออกจากตู้เย็น


        บอกลาความเชื่อแบบเก่า ๆ แล้วมาเปิดใจต้อนรับความรู้ใหม่ที่ว่าอาหารบางประเภทนั้นไม่ควรนำเข้าไปแช่ในตู้เย็นเด็ดขาด เก็บไว้ข้างนอกก็สภาพดีครบถ้วนไม่แพ้กันดีกว่า

          อย่าคิดนะว่าอาหารทุกชนิดจะอยู่รอดปลอดภัยถ้าเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น มาเปลี่ยนความคิดใหม่ไปพร้อม ๆ กันกับอาหารทั้ง 15 ชนิด ที่เรานำมาบอกเก้าเล่าสิบกันในวันนี้ว่าเลิกเอาไปแช่ในตู้เย็นซะ เถอะ เพราะมิฉะนั้นคุณอาจจะสูญเสียมันไปตั้งแต่ยังไม่แกะออกจากกล่อง แถมยังไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแม้แต่น้อย ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้างนะที่ตู้เย็นไม่ควรค่ากับการ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเก็บอาหารเหล่านี้เอาไว้


1. กาแฟ

          ในเมื่อกาแฟมีคุณสมบัติดูดกลิ่นอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเก็บกาแฟไม่ว่าแบบบดหรือเมล็ดไว้ในตู้ เย็น เพราะกาแฟจะดูดกลิ่นจากอาหารที่อยู่โดยรอบทำให้เสียรสชาติและกลิ่นหอม ๆ ไปโดยปริยาย แนะนำให้เก็บไว้ในขวดโหลที่มีฝาปิดแน่นหนาและวางไว้ในอุณหภูมิห้องจะดีกว่า ถ้าไม่อยากให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนไป

2. กล้วย

          ไม่ใช่ว่าเอากล้วยแช่ตู้เย็นไม่ได้หรอก แต่ถ้าหากจะทำจริง ๆ ก็ควรรู้วิธีที่ถูกต้อง โดยเลือกแช่เฉพาะกล้วยดิบหรือกล้วยที่มีผิวออกสีเขียว ๆ เท่านั้นก็จะช่วยชะลอไม่ให้กล้วยงอมเร็ว แต่ถ้านำเอากล้วยสุกกำลังกินไปแช่แล้วละก็ รับรองได้เลยจากเปลือกสีเหลืองนวลจะกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำช้ำใน ปอกเปลือกออกปุ๊บกล้วยเละคามือแน่นอน


3. น้ำมัน

          ใคร ๆ ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่ควรแช่น้ำมันไว้ในตู้เย็นเพราะจะทำให้เป็นไข แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ยังเข้าใจผิดคิดว่าน้ำมันนำเข้าอย่าง น้ำมันมะกอก ต้องแช่เก็บในตู้เย็น ขอเตือนเลยค่ะว่าไม่ควรทำอย่างแรง ไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องไปเสียเวลาเวฟให้กลับคืนรูปเดิม แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าน้ำมันมะกอกที่นำไปอุ่นจะเหมือนเดิมหรือเปล่า ?

4. ขิง

          ไม่ต้องตกใจไปหากคุณนำขิงไปแช่ไว้ในตู้เย็นทิ้งไว้แล้วมาเปิดดูอีกทีก็พบว่า มันแห้งเหี่ยวไม่มีเนื้อไปซะแล้ว นั่นอาจจะเป็นเพราะความเย็นดูดเอาความชุ่มชื่นออกไปจากขิงจนหมด แม้กระทั่งปอกเปลือกก็ยังปอกยากเลย ถ้าจำเป็นที่จะต้องแช่ขิงไว้ในตู้เย็นแนะนำให้ปอกเปลือกแล้วห่อไว้ หรือจะใส่กล่องพลาสติกก่อนนำไปแช่ในตู้เย็นก็ได้ค่ะ


5. หัวหอม
         
          บอกเลยว่าใครเอาหัวหอมแช่ไว้ในตู้อยู่นั้นให้รีบเอาออกมาด่วน มิเช่นนั้นอาหารทุกอย่างในตู้เย็นจะมีแต่กลิ่นหัวหอมเต็มไปหมด นอกจากนี้ไอเย็นในตู้เย็นจะทำให้เนื้อภายในของหัวหอมขาดยุ่ยออกจากกันจนนิ่ม พร้อมกับส่งกลิ่นรบกวนอาหารในตู้เย็นไปทั่ว ถ้าอยากจะแช่ไว้ในตู้เย็นจริง ๆ แนะนำให้ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ พลาสติกห่ออาหาร หรือใส่กล่องบรรจุก่อนแช่จะดีกว่า

6. ฟักทอง


          การเก็บฟักทองเอาไว้ในตู้เย็นเป็นเวลานานจะทำให้ทั้งความชุ่มชื้น รสชาติหวาน ๆ และความเหนียวอันเป็นคุณสมบัติเอกของฟักทองหายเกลี้ยง ดังนั้นแนะนำให้ซื้อมากินแต่พอดีและเก็บไว้ในที่ที่มีการระบายอากาศสะดวกดีกว่า


7. กระเทียม

          หยิบกระเทียมออกมาจากตู้เย็นด่วนเลยค่ะ อย่าหลงทำตามความเชื่อแบบผิด ๆ ที่ว่าต้องแช่กระเทียมไว้ในตู้เย็นเพื่อป้องกันกระเทียมเน่าอีกเลย เพราะจริง ๆ แล้วอากาศในตู้เย็นกลับเป็นตัวเร่งทำปฏิกิริยาทำให้กระเทียมขึ้นราและช้ำจน ไม่สามารถนำมาปรุงอาหารต่อได้

8. มะเขือเทศ

          อย่างที่รู้กันดีว่ามะเขือเทศค่อนข้างบอบบาง โดนกระแทกนิดเดียวก็ช้ำไปถึงเนื้อในแล้ว เช่นเดียวกันหากเราแช่มะเขือเทศเอาไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิติดลบก็จะทำให้เนื้อ ฉ่ำ ๆ ของมะเขือเทศแห้งเหี่ยว ช้ำ และมีสภาพเละ ๆ เหลว ๆ ในที่สุด


9. น้ำผึ้ง

          ด้วยรสชาติที่หวานหอมชื่นใจของน้ำผึ้ง ทำให้เราคิดไปเองว่าต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อป้องกันมดและแมลง แต่ในความเป็นจริงแล้ววิธีนี้จะยิ่งเพิ่มความหวานให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมเพราะ จะเกิดการตกผลึกเป็นเกล็ดน้ำตาลและเนื้อสัมผัสจะเหนียวติดกันเป็นโฟมทำให้ ตักยาก แค่เก็บไว้ในโหลที่ปิดแน่นหนาและวางบนที่สูงก็พอแล้ว

10. เมลอน

          เมลอนเย็น ๆ หวาน ๆ กำลังเป็นที่นิยมในบรรดาคนรักสุขภาพ เพราะนอกจากจะทำให้สดชื่นแล้วยังมีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีอีก ต่างหาก แต่รู้หรือไม่ว่าการนำเมลอนไปแช่ในตู้เย็นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์อย่าง ที่คิด เพราะความเย็นจะเข้าไปทำลายสารต้านอนุมูลอิสระจนหมดสิ้น สู้เก็บไว้นอกตู้เย็นเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนดีกว่า


11. สมุนไพรสด

          จากรายการทำอาหารต่างชาติที่เราเปิดดูบ่อย ๆ นั้น จะเห็นได้ว่าเชฟนิยมเด็ดสมุนไพรสด ๆ จากต้นที่ปลูกในกระถางมาปรุงอาหารเลยทันที เพราะถ้าหากเรานำพืชสมุนไพรสดอย่าง ผักชี กะเพรา โหระพา หรือแม้กระทั่งโรสแมรี่ ไปแช่ไว้ในตู้เย็นก็จะทำให้มันเหี่ยวแห้งจนสูญเสียทั้งรสชาติ กลิ่น และสารอาหาร

12. ขนมปัง

          ใช่ว่าการแช่ขนมปังไว้ในตู้เย็นจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะถ้าจำเป็นต้องแช่เอาไว้เพื่อเตรียมทำแซนด์วิชหรือตามสูตรอาหารให้ถือ เป็นข้อยกเว้น แต่ถ้าไม่ได้อยู่ใน 2 กรณีนี้แนะนำให้เก็บไว้นอกตู้เย็นดีกว่า มิเช่นนั้นเนื้อสัมผัสและรสชาติของขนมปังจะแข็งกระด้างจนแทบไม่อยากหยิบมา กินให้เสียอารมณ์เลยล่ะ


13. อะโวคาโด

          สาว ๆ ที่คลั่งไคล้อะโวคาโดฟังทางนี้ ! ห้ามนำลูกอะโวคาโดที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดหรือซูเปอร์มาร์เกตไปแช่ในตู้เย็น เด็ดขาด วางทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติดีแล้ว เพราะตู้เย็นจะทำให้อะโวคาโดแข็ง ฝาด และไม่ได้ลิ้มรสชาติตามที่ต้องการ

14. ผลไม้เนื้อนิ่มสุกง่าย

          ข้อนี้เข้าข่ายเหตุผลเดียวกับมะเขือเทศและเมลอน เพราะผลไม้เนื้อนิ่มแสนบอบบางอย่าง กีวี พีช มะม่วง หรือแอปริคอต จะสุกงอมและแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังโดนดูดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายออกไปจนหมดอีกด้วย ฉะนั้นแค่เก็บของเหล่านี้เอาไว้ในขวดโหลหรือบรรจุภัณฑ์สะอาด ๆ ก็พอดีกว่าปล่อยเน่าคาตู้เย็นนะ

15. มันฝรั่ง
         
          แม้ว่าผลเสียของการนำมันฝรั่งไปแช่ในตู้เย็นอาจจะไม่เท่ากับมะเขือเทศก็จริง แต่ไอเย็นและอุณหภูมิในตู้เย็นจะไปทำลายแป้งในเนื้อมันฝรั่งจนรสชาติหวาน ๆ หายไปจนหมดสิ้น แถมเนื้อของมันฝรั่งก็ไม่กรอบสดใหม่อีกต่อไปแล้วด้วย

          หากใครที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของเหล่านี้แช่อยู่ในตู้เย็น แนะนำให้รีบหยิบออกเลยค่ะและอย่าเผลอนำกลับไปแช่เป็นอีกเด็ดขาดเพื่อวัตถุ ดิบที่สดใหม่และได้สารอาหารครบถ้วน




เครดิตภาพ  http://lettucebehealthy.net/2013/08/01/garden-tomatoes-avocado-basil-salad/

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

7 เทคนิคซ่อมบำรุงบ้านสุดรัก แบบประหยัดเว่อร์ ๆ


          เวลาที่บ้านชำรุดทรุดโทรม เราก็มักจะหาวิธีซ่อมบำรุงด้วยตัวเองในเบื้องต้นก่อน หรือไม่ก็หาช่างฝีมือดีมาช่วยจัดการปัญหาทั้งหลายให้หมดไป ซึ่งก็ต้องเสียทั้งเวลาและเงินในการบำรุงซ่อมแซมไม่มากก็น้อย ทั้ง ๆ ที่บางทีจุดซ่อมแซมก็เป็นปัญหาที่เล็กนิดเดียว ดูแล้วไม่น่าจะต้องเสียเวลาจ้างช่างมาซ่อมเลยใช่ไหมคะ แต่ที่เป็นจำเป็นต้องจ้างช่าง ก็เพราะว่าเราไม่รู้วิธีซ่อมบำรุงจุดชำรุดเหล่านี้ด้วยตัวเอง

            ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดู 7 เทคนิคซ่อมบำรุงบ้านต่อไปนี้กันดีกว่า คราวหน้าถ้าเกิดจุดชำรุดในบ้านตรงบริเวณเหล่านี้ขึ้นมาอีก จะได้ลงมือซ่อมบำรุงบ้านด้วยตัวเองได้เลยทันที แถมประหยัดเงินในกระเป๋ากว่ากันมากเลยด้วย

1. ก๊อกน้ำหรือฝักบัวรั่ว

            ก๊อกน้ำตามจุดต่าง ๆ ทั้งอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ และอ่างล้างจานในห้องครัว รวมถึงฝักบัวที่พอใช้ไปนาน ๆ ก็เริ่มจะอุดตัน หรือรั่วบ้างตามสภาพการใช้งาน ก็ไม่จำเป็นต้องหาซื้อก๊อกมาเปลี่ยนใหม่ เพราะเพียงแค่หมุนหัวก๊อกหรือหัวฝักบัว และดึงเอาวงแหวนเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านในออก ใส่วงแหวนอันใหม่เข้าไป ก็สามารถแก้ปัญหาก๊อกน้ำหรือฝักบัวรั่วได้แล้วค่ะ เพราะอาการรั่วของก๊อกน้ำและฝักบัวส่วนใหญ่ มักจะมีสาเหตุมาจากเจ้าวงแหวนเล็ก ๆ ที่มีหน้าที่ช่วยให้นอตแน่น ดันเกิดเปื่อยหรือขาดนี่เอง

2. ล้างฟิลเตอร์แอร์

            ฟิลเตอร์ ในเครื่องปรับอากาศ จะทำหน้าที่กรองอากาศ ซึ่งหากฟิลเตอร์แอร์มีแต่ฝุ่นเกาะจับหนาอยู่ตลอด ก็จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น หรือเปลืองไฟมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการถอดล้างเพื่อทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ จะสามารถช่วยประหยัดไฟให้คุณได้อีกมากโข นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ให้ยาวนาน และทำความเย็นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

3. ทำความสะอาดรางน้ำฝน

            ไม่ว่าบ้านคุณจะเป็นบ้าน 2 ชั้น หรือบ้านชั้นเดียว ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดรางน้ำฝนเอาไว้ให้พร้อม เนื่องจากหากรางน้ำฝนอุดตัน จะทำให้เกิดปัญหาน้ำฝนล้นรางลงมาเปื้อนผนังบ้าน หน้าต่าง และข้าวของที่วางไว้ในบริเวณนั้นให้เสียหาย หรือต้องเสียเงินซ่อมบำรุงกันใหม่ ดังนั้นทางที่ดีควรหมั่นเก็บกวาด ทำความสะอาดรางน้ำฝนให้เรียบร้อย จะปีนบันไดขึ้นไปแล้วใช้ไม้กวาดทำความสะอาด หรือจะใช้สายยางฉีดน้ำไล่สิ่งอุดตันก็ได้ค่ะ

4. ตรวจสอบเครื่องตรวจจับควัน

            หากที่บ้านของคุณติดเครื่องตรวจจับควันไฟเอาไว้สำหรับเตือนภัยไฟไหม้ ก็ต้องหมั่นตรวจสอบการใช้งานอยู่เสมอ เพราะอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเหล่านี้ มักจะทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ และส่วนมากก็จะมีอายุการใช้งานเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ฉะนั้นจึงควรจดจำวันที่ติดตั้งเอาไว้ให้ดี หรือไม่ก็เขียนวันที่อย่างชัดเจนติดเอาไว้ในจุดที่สังเกตง่ายเพื่อกันลืม จะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุไฟไหม้ ที่อาจเสียทรัพย์จนหมดบ้านได้

5. กำจัดรอยบุ๋มบนเฟอร์นิเจอร์ไม้

            โต๊ะกาแฟที่เป็นไม้ หรือเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีอยู่ในบ้าน อาจเกิดการกระแทกจนเป็นรอยบุ๋มเอาได้ แนะนำให้กำจัดรอยบุ๋มด้วยการใช้ผ้าคอตตอนสำหรับเช็ดจาน ชุบน้ำให้ชุ่ม จากนั้นก็พับเป็นสี่เหลี่ยมเตรียมไว้ เสร็จแล้วก็ตั้งเตารีดระบบแห้งที่อุณหภูมิสูงสุด รอจนเตารีดร้อนแล้วก็นำผ้าชุบน้ำที่เตรียมไว้ มาประคบตรงรอยบุ๋ม และค่อย ๆ จับเตารีดอังบนผ้าประมาณ 2-3 วินาที และนำผ้าออก ใช้น้ำยาขัดเฟอร์นิเจอร์ไม้ขัดอีกครั้ง ทำซ้ำอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกว่ารอบบุ๋มจะหายไป

6. แก้ปัญหาวอลเปเปอร์หลุดลอก

            เวลาผ่านไปความสวยงามของบ้านก็เริ่มทรุดโทรมลง วอลเปเปอร์ที่เคยติดอยู่บนผนังอย่างสวยงาม ก็เกิดหลุดร่อนออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ซึ่งวิธีแก้ปัญหานี้ก็แค่นำลูกกลิ้งขนาดเล็กสำหรับทากาว มาชุบกาวติดผนัง แล้วทาไปบริเวณผนังและแผ่นวอลเปเปอร์ที่หลุดล่อนออกมา จากนั้นก็แปะชิ้นส่วนวอลเปเปอร์กลับเข้าไปอย่างเดิมและรอให้แห้งเท่านี้เอง จ้า

7. หยุดเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตู

            ถ้าทุกครั้งที่บิดลูกบิดประตู แล้วต้องทนเสียวฟันเพราะเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังมาจากลูกบิด ก็ถึงเวลาต้องแก้ปัญหานี้แล้วล่ะ วิธีก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ถอดลูกบิดประตูออกมาจากบานพับ แล้วขัดทำความสะอาดฝุ่น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกให้หมด จากนั้นก็นำปิโตรเลียมเจลมาทาที่ลูกบิดและบานพับให้ทั่ว ขั้นตอนสุดท้ายก็นำลูกบิดใส่กลับเข้าที่บานพับเหมือนเดิม เท่านี้ก็เรียบร้อย

            จุดชำรุดทรุดโทรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและเสียเงินจ้างช่างมาซ่อม เพราะเพียงแค่ใช้เทคนิคดูแลบ้านอย่างที่เรานำมาฝาก ก็สามารถซ่อมแซม บำรุง และป้องกันบ้านจากความเสียหายต่าง ๆ ได้ครบถ้วนแล้วเนอะ